"ที่คิดกันว่า ความรักเกิดจากมิตรสัมพันธ์ยืนยาวและการเว้าวอนยืดเยื้อนั้นเข้าใจผิด ความรักถือกำเนิดจากความผูกพันทางวิญญาณ และถ้าแม้นความสัมพันธ์นั้นไม่ถูกรังสฤษดิ์ขึ้นในบัดดลใจแล้ว ก็ไม่อาจจะรังสฤษดิ์ขึ้นได้แม้นับเป็นปีหรือชั่วอายุคน"
คาลิล ยิบราล
1. บทนำ
เนื้อหาในบทความชุดนี้ตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึง 4 นั้น เป็นเนื้อหาโดยทั่วไปกว้างๆครอบคลุมในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชื่อของบทความ อาจมีกล่าวถึงหลักการทางโหราศาสตร์บ้างแต่ก็ไม่ได้ลงลึกในหลักวิชา เนื่องจากต้องการกล่าวถึงหัวข้อต่างๆที่ผู้เขียนเห็นว่ามีความสำคัญและต้องการให้บุคคลทั่วไปที่แม้ไม่ใช่นักโหราศาสตร์ ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาที่กล่าวถึงและจับใจความสำคัญได้ สำหรับในตอนที่ 5 นี้จะแตกต่างกับเนื้อหาก่อนหน้าตรงที่เป็นการลงลึกในรายละเอียด ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ที่ใช้ในการสมพงศ์ดวงชะตาโดยตรง โดยจะกล่าวถึงหลักการพื้นฐานในการเปรียบเทียบดวงชะตาโดยวิธีดวงซ้อนดวง ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐานดั้งเดิมที่สุดในการสมพงศ์ดวงชะตาทั้งในโหราศาสตร์ตะวันตก (ระบบสายนะ: จักราศีเคลื่อนที่) และโหราศาสตร์ตะวันออก (นิรายนะ: จักราศีดาวฤกษ์, คงที่) และยังคงเป็นวิธีการหลักที่นิยมใช้กันมากที่สุดในแวดวงโหราศาสตร์ทั่วโลกในปัจจุบัน
2. การสมพงศ์ดวงชะตาด้วยวิธีดวงซ้อนดวง
การสมพงศ์ดวงชะตาด้วยวิธีนี้ คือการนำดวงของบุคคลสองคนที่ต้องการจะเปรียบเทียบกันมาซ้อนกันเป็นดวงสองชั้น ดวงหนึ่งอยู่วงในและอีกดวงหนึ่งอยู่วงนอก จากนั้นก็พิจารณาตำแหน่งสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆระหว่างดวงชะตาทั้งสองและอ่านความหมายที่ได้จากตำแหน่งสัมพันธ์ดีร้ายต่างๆดังกล่าว ซึ่งในวิชาโหราศาสตร์ถือว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆระหว่างดวงชะตาที่นำมาเปรียบเทียบกัน มีผลอย่างยิ่งต่อความเป็นไปในการเกี่ยวข้องกันระหว่างบุคคลทั้งสอง หากเข้ามาคบหามีความสัมพันธ์กัน หลักการนี้สามารถนำไปใช้ได้กับการตรวจสอบความสัมพันธ์ในทุกๆลักษณะไม่เฉพาะในเรื่องของความรักระหว่างหญิงและชายเท่านั้น เช่นใช้ในการรับคนเข้าทำงาน การมอบหมายงานให้เหมาะสมกับพนักงาน หรือแม้กระทั่งการวางตัวแม่ทัพนายกองเพื่อเข้าสัปประยุทธ์ชิงชัยกันในสมรภูมิสงคราม!!! ดังเช่นการวางตัวแม่ทัพนายกองในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับฝ่ายนาซีเยอรมัน ("ยุทธวิธีโหร" โดย ลูอิสต์ เดอะโวลห์ โหรเอกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง แปลโดย นาวาเอก หม่อมเจ้า เจริญสุข โสภาคย์ เกษมสันต์ นายกสมาคมคนแรก ของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย)
จากรูปแสดงตัวอย่าง "ดวงซ้อนดวง" ที่กล่าวถึงในบทความนี้ โครงสร้างที่สะดุดตาคือ อังคารของดวงใน เล็งสนิทองศากับ สะท้อนศุกร์ของดวงนอก เป็นโครงสร้างอังคาร/ศุกร์ ที่ตามทฤษฎีโหราศาสตร์ทั้งตะวันออกและตะวันตกมีความเห็นตรงกันว่า เป็นสุดยอดของโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาโครงสร้างหนึ่ง โดยเชื่อว่าเป็นโครงสร้างที่ทำให้เกิดรักแรกพบเช่นในเรื่องราวความรักระหว่าง โรเมโอกับจูเลียต, หรือ กามนิตกับวาสิฏฐี ฯลฯ บางตำราเชื่อว่าเป็นโครงสร้างที่ทำให้ความรักระหว่างชายหญิงทั้งสองจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่กลางวันและกลางคืนจะต้องเกิดขึ้นติดต่อสืบเนื่องกันไปชั่วนิจนิรันดร ("It follows as night follows day that there will be a great physical attraction between the man and the woman"...... Sydney Omarr) ดวงซ้อนดวงที่นำมาแสดงเป็นตัวอย่างนี้เป็นดวงของคู่รักที่ได้รับความสนใจ และได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคู่หนึ่งในสังคมขณะนี้ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในรายละเอียด จะเห็นโครงสร้างร้ายหลายโครงสร้างปรากฏอยู่ ประกอบกับความแตกต่างทางสถานะและชนชั้นในโลกแห่งความเป็นจริงระหว่างคู่รักคู่นี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจเลยว่า ในที่สุดแล้วโครงสร้างอังคาร/ศุกร์ นี้จะสามารถนำพาคนรักทั้งสองไปให้ถึงดวงดาวได้
รูปแสดงตัวอย่าง"ดวงซ้อนดวง" ที่ใช้ในการสมพงศ์ดวงชะตา

(ภาพจากโปรแกรม Virgo07 ที่กำลังพัฒนา)
3. การอ่านความหมายของโครงสร้างที่เกิดขึ้นจาก "ดวงซ้อนดวง"
จากดวงซ้อนดวง เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆจะได้โครงสร้างความสัมพันธ์ข้ามดวง (Cross Aspectarians) จำนวนนับไม่ถ้วน เช่นถ้าใช้โหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนก็จะได้โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างดวงไล่มาตั้งแต่ เมอริเดียนดวงนอก กับเมอริเดียนดวงใน เรียงลำดับกันไปจนถึงเมอริเดียนดวงนอกกับโพไซดอนดวงใน ยิ่งถ้าใช้ตำแหน่งสัมพันธ์ที่มีฤทธิ์ทั้งจำนวนเท่าของ 45 องศา จำนวนเท่าของ 30 องศา มุม 72 องศา หรือไปถึงมุมย่อยเช่น มุม 22องศา30 ลิปดา และใช้ตำแหน่งสัมพันธ์ขนานด้วยก็จะมีโครงสร้างความสัมพันธ์ข้ามดวง จำนวนมากยิ่งขึ้นไปอีก และเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ในที่สุดแล้วไม่สามารถสรุปอะไรได้ เพราะมีโครงสร้างดีร้ายต่างๆมากมายไปหมดที่ให้ความหมายครอบคลุมดีร้ายไปทุกเรื่อง ปัญหานี้อาจแก้ไขได้บ้างด้วยการชั่งน้ำหนักโครงสร้างว่าโครงสร้างใดมีผลมากน้อยเพียงใด เพื่อให้สามารถใช้วิจารณญาณสรุปผลดีร้ายในประเด็นสำคัญๆต่างๆได้ เพราะโครงสร้างในบางลักษณะอาจแทบไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเลย (โครงสร้างระหว่างดาวพระเคราะห์รอบนอกหรือดาวทิพย์กับดาวในกลุ่มเดียวกัน เป็นต้น) หรือบางโครงสร้างมีความสำคัญมาก จนแทบจะชี้ขาดประเด็นความสัมพันธ์บางประเด็นได้โดยไม่ต้องพิจารณาโครงสร้างอื่นเลย เช่นโครงสร้างอาทิตย์/จันทร์โดยเฉพาะกรณีที่อาทิตย์ในดวงชะตาชายกุมสนิทองศากับจันทร์ในดวงชะตาหญิง ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาที่เก่าแก่ที่สุดของโบราณนั้น จะต้องนำมาพิจารณาแน่นอน อย่างไรก็ตามในการชั่งน้ำหนักโครงสร้างดาวนั้นในทางปฏิบัติมีปัญหามากมาย อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในตอนที่ 1 ว่า ในชีวิตจริงนั้นไม่มีอะไรง่ายเหมือนในทฤษฎีเลย และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากวิชาโหราศาสตร์ได้เต็มที่ในทุกๆเรื่อง ไม่เฉพาะแต่ในเรื่องการสมพงศ์ดวงชะตา โดยเราสามารถใช้ประโยชน์จากวิชาโหราศาสตร์ได้ในขอบเขตที่จำกัดระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าเราใช้วิชาโหราศาสตร์ได้เต็มที่อย่างที่เราต้องการ มนุษย์ก็จะกลายสถานะเป็นพระเจ้าเสียเองซึ่งเป็นไปไม่ได้ ความยากในการชั่งน้ำหนักโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างดวง และการนำหลักเกณฑ์การสมพงศ์ดวงชะตามาใช้ในชีวิตจริงนั้น ผู้เขียนจะได้นำมากล่าวถึงในบทความตอนต่อๆไป
สำหรับในบทความตอนนี้ จะกล่าวถึงหลักในการอ่านและแปลความหมายของโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างดวงก่อนไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างใด เกิดจากปัจจัยใด ใช้ตำแหน่งสัมพันธ์ที่มีฤทธิ์ใดๆในการพิจารณา ก็สามารถใช้หลักการที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้มาอ่านความหมายที่เกิดขึ้นได้ หลักการในการพิจารณามีดังนี้
1) อ่านความหมายของปัจจัยคู่นั้นผสมกันตรงๆ โดยใช้ปัจจัยในดวงนั้นเป็นประธาน เช่น เสาร์ในดวงชะตาหญิงเล็งอังคารในดวงชะตาชาย อ่านว่าฝ่ายหญิงทำให้เกิดอุปสรรค (เสาร์) ในกิจกรรม (อังคาร) ของฝ่ายชาย, ขณะเดียวกันก็อ่านว่ากิจกรรม (การกระทำ, อังคาร) ของฝ่ายชายทำให้ฝ่ายหญิงเป็นทุกข์หรือพลัดพราก (เสาร์) และผลในภาพรวมที่เกิดขึ้นก็คือ (อ่านในภาพรวมตามสูตรพระเคราะห์สนธิตรงๆ หรือตามความหมายทางโหราศาสตร์ของปัจจัยที่มาผสมกันก็ได้) ในความสัมพันธ์นี้ จะเกิดการพลัดพรากที่ไม่เต็มใจหรือการพลัดพรากโดยถูกบังคับหรือการพลัดพรากที่เป็นทุกข์ ฯลฯ อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น พฤหัสในดวงชะตามารดาให้แสงถึงพุธในดวงชะตาลูกชาย อ่านจากดวงของลูกได้ว่า สติปัญญาความคิด (พุธ) ของลูก พัฒนากว้างขวางขึ้น (พฤหัส) จากความสัมพันธ์กับแม่ เมื่ออ่านจากดวงแม่ได้ว่า แม่มีความสุขสมปราถนา (พฤหัส) จาก สติปัญญาความคิดของลูก (พุธ) และผลในภาพรวมที่เกิดขึ้นคือ ในความสัมพันธ์นี้จะเกิดความสุขสมปราถนา (พฤหัส) ในเรื่องของสติปัญญาความคิด (พุธ) ปัจจัยคู่อื่นก็สามารถอ่านได้ในทำนองเดียวกันนี้
2) ในกรณีที่เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น จากปัจจัยที่เป็นจุดเจ้าชะตาทั้งคู่ โหราศาสตร์สากลโดยทั่วไปให้ความหมายว่า ทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดี ( good rapport) อย่างไรก็ตามคำสอนของอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ ให้พิจารณาว่าทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญ (ประทับใจ) ต่อกันไม่ว่าจะเป็นทางดีหรือร้ายก็ตาม (ขึ้นอยู่กับโครงสร้างดี/ร้ายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง) รายละเอียดตามบทความชุดนี้ในตอนที่ 4 ซึ่งจากประสบการณ์ ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำสอนของอาจารย์ประยูรฯ
3) สำหรับกรณีที่เป็นโครงสร้างระหว่างจุดเจ้าชะตา กับดาวเคราะห์นั้น โหราศาสตร์สากลใช้หลักเดียวกับ การพิจารณาดาวจรมากระทบปัจจัยกำเนิด ซึ่งดูเหมือนจะตรงกับหลักการของโหราศาสตร์ในระบบนิรายนะ (ตะวันออก) ด้วยเช่นกัน ตรงนี้เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญยิ่งกับคำสอนของอาจารย์ประยูร พลอารีย์ เพราะตามคำสอนของอาจารย์ประยูรฯนั้นท่านใช้หลักการว่าจุดเจ้าชะตาเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ดาวเคราะห์ทำงาน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานเดียวกับคำสอนของท่าน ในการพิจารณาการมีกำลังของดาวเคราะห์ในดวงชะตากำเนิดที่ว่า "ปัจจัยใดจะมีกำลังแรงสามารถแสดงอิทธิพลให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ได้ ปัจจัยนั้นต้องสัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา" นั่นเอง เพียงแต่ว่าในการพิจารณาสมพงศ์นั้นเป็นการพิจารณาว่า จุดเจ้าชะตาในดวงคู่เปรียบเทียบนั้นกระตุ้น (activate) ให้ปัจจัยใดในดวงชะตาอีกดวงหนึ่งทำงาน ถ้าเป็นดาวศุภเคราะห์ก็ให้ผลดี ถ้าเป็นบาปเคราะห์ก็ให้ผลร้าย
ตัวอย่างเช่น กรณีอาทิตย์ในดวงชะตาชายถึงศุกร์ในดวงชะตาหญิง โหราศาสตร์สากลจะอ่านว่า เกิดความรักขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสอง ซึ่งเป็นความรักที่เกิดขึ้นซึ่งกันและกัน แต่ถ้าใช้หลักการตามคำสอนของอาจารย์ประยูรฯจะอ่านว่า ฝ่ายชาย (โดยกายที่มีวิญญาณครอง, อาทิตย์) ทำให้ฝ่ายหญิงเกิดความรักขึ้น (ศุกร์ ถูกกระตุ้นให้ทำงานโดยอาทิตย์กำเนิดของฝ่ายชาย) แม้ในภาพรวมจะเกิดความรักขึ้นในระหว่างบุคคลทั้งสอง แต่เนื่องจากศุกร์เป็นดาวกำเนิดในดวงฝ่ายหญิง ดังนั้นเมื่อศุกร์ทำงานฝ่ายหญิงจึงเป็นฝ่ายที่เกิดความรักขึ้นและรุนแรง ในขณะที่ฝ่ายชายเป็นเพียงคู่กรณีที่ดูดซับความรักเข้ามาที่ตนเองโดยผ่านทางอาทิตย์กำเนิดเท่านั้น กรณีที่จะเกิดความรักซึ่งกันและกันนั้นดาวศุกร์ในดวงชะตาฝ่ายชายจะต้องสัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตาของฝ่ายหญิงด้วย ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการครบวงจร (Close Circuit) .ในการพยากรณ์จร รายละเอียดปรากฏในบทความเรื่องกฎของการครบวงจรในการพยากรณ์ดาวพระเคราะห์จร
การสมพงศ์ดวงชะตาด้วยวิธีดวงซ้อนดวงยังคงเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากที่สุด ในแวดวงโหราศาสตร์ในโลกปัจจุบัน จะแตกต่างกันในแต่ละสำนักก็ที่ตำแหน่งสัมพันธ์ที่นำมาใช้ ความหมายของการผสมปัจจัย และการให้น้ำหนักมากน้อยกับแต่ละโครงสร้างที่ตรวจพบเท่านั้น
4. โครงสร้างศักดิ์สิทธิ์ของโบราณกับหลักการอ่านความหมายของโครงสร้างตามข้อ 3 ?
หลักการตามข้อ 3 นั้นผู้เขียนรวบรวมมาจากคำสอนพื้นฐานของโหราศาสตร์สากล (ข้อ 1) และคำสอนของอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ (ข้อ 2 และ 3) จากประสบการณ์พบว่าสามารถใช้ในการอ่านความหมายของโครงสร้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเทียบสมพงศ์ดวงชะตาได้เป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถใช้อ่านความหมาย และให้น้ำหนักแก่โครงสร้างที่สำคัญยิ่งทั้งสองโครงสร้างที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณว่า เป็นสุดยอดของโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาคือโครงสร้าง อาทิตย์/จันทร์ และ อังคาร/ศุกร์ ได้เหมือนกับที่ตำราบอกไว้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดปัญหาในการให้น้ำหนักแก่โครงสร้างดังกล่าวอีกด้วย รายละเอียดในการพิจารณาคงต้องกล่าวถึงในตอนต่อๆไป สำหรับบทความในตอนนี้ คงจะกล่าวเพียงปัญหาการอ่านความหมายที่เกิดขึ้นโดยย่อเท่านั้นดังนี้
4.1 โครงสร้าง อาทิตย์/จันทร์ นั้น โบราณถือว่าเป็นสุดยอดโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตา โดยเฉพาะกรณีอาทิตย์ในดวงชะตาชายทับจันทร์ในดวงชะตาหญิงสนิทองศา ตำราหลายเล่มยกย่องถึงขนาดว่าเทียบได้กับสัญลักษณ์ของ "คู่แท้, Soulmate" ในอุดมคติตามปรัชญาตะวันตกเลยทีเดียว ตำราบางเล่มเรียกโครงสร้างนี้ว่า "การสมรสแห่งสวรรค์, Cosmic Marriage" (Astrology for Beginners ...Geoffrey Cornelius, Maggie Hyde and Chris Webster) โดยกล่าวว่า "การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันของทั้งสองคนคือการรวมกันของสองครึ่งที่ขาดหายให้เป็นหนึ่งเดียวที่เติมเต็ม (The two individuals are two halves of a whole.)" ตามปรัชญาตะวันตกถือว่าเป็นความสุขสมบูรณ์ที่สุดของชีวิตการเป็นมนุษย์ที่จะบรรลุได้ ต่างฝ่ายต่างเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของอีกฝ่ายหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อใช้หลักการตามข้อ 3 โครงสร้างนี้เป็นเพียงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจุดเจ้าชะตาสองจุดเท่านั้นเอง ผลคือทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่ประทับใจต่อกัน ดีหรือร้ายแล้วแต่ภาพรวมโครงสร้างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อคำนึงถึงหลักพื้นฐานของโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนที่ว่า เมอริเดียนเป็นจุดเจ้าชะตาที่สำคัญที่สุด โครงสร้างนี้ก็ไม่มีเมอริเดียนอยู่ด้วย จึงไม่น่าจะเป็นโครงสร้างระหว่างจุดเจ้าชะตาที่สำคัญที่สุดด้วยซ้ำไปอย่าว่าแต่จะเป็นสุดยอดโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาเลย???
4.2 โครงสร้าง อังคาร/ศุกร์ ถือกันว่าเป็นสุดยอดโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาอีกโครงสร้างหนึ่ง รายละเอียดตามที่ได้เคยกล่าวไว้ในหลายที่ของบทความชุดนี้ หลายมติให้น้ำหนักมากกว่าโครงสร้าง "อาทิตย์/จันทร์" เสียอีก เช่นท่านปรมาจารย์เทพย์ สาริกบุตรกล่าวไว้ว่า "ในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายนั้น เมื่อถึงที่สุดกันจริงๆโดยแก่นแท้แล้วก็มีเพียงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศนี้เท่านั้น ดังนั้นถ้าดาวอังคารในดวงชะตาชายกุมศุกร์ในดวงชะตาหญิงแล้ว ไม่มีโครงสร้างอื่นใดจะมีอิทธิพลเอาชนะโครงสร้างนี้ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่หญิงชายคู่นั้นได้หลับนอนมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยากันแล้ว จะไม่มีทางใดแยกหญิงชายคู่นี้ออกจากกันได้อีก ต่อให้เอาไปฆ่าให้ตายก็ตาม" นอกจากนี้ผู้เขียนเคยได้ฟังนายทหารนอกราชการที่เคารพนับถือท่านหนึ่งกล่าวถึงโครงสร้าง "อังคาร/ศุกร์" ให้ฟังว่า "กรณีอังคารในดวงชะตาชายทับศุกร์ในดวงชะตาหญิงนั้น เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายที่มีอิทธิพลแรงที่สุด ไม่มีโครงสร้างใดจะมาเทียบได้" ซึ่งท่านได้กล่าวอุปมาอุปไมยให้ฟังว่า " สมมติว่าผู้หญิงคนหนึ่งผ่านประสบการณ์กับผู้ชายมา 100 คน เมื่อมาพบกับผู้ชายคนที่ 101 ซึ่งปรากฏว่ามีดาวอังคารในดวงชะตาทับศุกร์ผู้หญิงคนนี้สนิท หลังจากนี้ไปผู้หญิงคนนี้จะลืมผู้ชายทั้ง 100 คนก่อนหน้านี้ทั้งหมดทุกคน เหลือเพียงผู้ชายคนที่ 101 นี้คนเดียวเท่านั้น"
เช่นเดียวกันเมื่อใช้หลักการตามข้อ 3 เข้ามาพิจารณาโครงสร้างนี้ จะเห็นได้ว่าดาวอังคารเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไม่ใช่จุดเจ้าชะตา ตามคำสอนของท่านอาจารย์ประยูรฯ ดาวอังคารย่อมไม่สามารถกระตุ้นให้ดาวศุกร์ในอีกดวงหนึ่งทำงานได้ อิทธิพลที่เกิดขึ้น ย่อมอ่อนกว่าโครงสร้างที่เกิดจากจุดเจ้าชะตาไปกระตุ้นศุกร์ของฝ่ายหญิงอย่างเทียบกันไม่ได้ เช่นโครงสร้าง อาทิตย์/ศุกร์ จันทร์/ศุกร์ ราหู/ศุกร์ อย่าว่าแต่จะเป็นสุดยอดโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาเลย ???
5. สรุป
บทความในตอนที่ 5 นี้ได้กล่าวถึงวิธีการพื้นฐานในการสมพงศ์ดวงชะตาคือการสมพงศ์ดวงชะตาโดยวิธี "ดวงซ้อนดวง" ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐานดั้งเดิมที่สุดในการสมพงศ์ดวงชะตาทั้งในโหราศาสตร์ตะวันตก (ระบบสายนะ: จักราศีเคลื่อนที่) และโหราศาสตร์ตะวันออก (นิรายนะ: จักราศีดาวฤกษ์, คงที่) และยังคงเป็นวิธีการหลักที่นิยมใช้กันมากที่สุดในแวดวงโหราศาสตร์ทั่วโลกในปัจจุบัน ทั้งนี้ได้กล่าวถึงวิธีการในการทำดวงซ้อนดวง ซึ่งเป็นการนำดวงชะตาที่ต้องการเปรียบเทียบกันสองดวงมาวางซ้อนกันเป็นดวงสองชั้น จากนั้นก็พิจารณาตำแหน่งสัมพันธ์ระหว่างดวงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ (Cross Aspectarians) เพื่อสรุปผลการพิจารณาในขั้นสุดท้ายต่อไป ปัญหาที่ยากในการพิจารณาสมพงศ์ด้วยวิธีนี้คือ จะได้โครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งดีและร้ายเกิดขึ้นผสมปนเปกันเป็นจำนวนมากจนบ่อยครั้งไม่สามารถสรุปได้ว่าผลเป็นอย่างไรกันแน่ จึงต้องมีการพิจารณากลั่นกรอง และให้น้ำหนักความสำคัญของโครงสร้างที่เกิดขึ้นเพื่อให้ในทางปฏิบัติสามารถใช้วิจารณญาณสรุปผลการพิจารณาได้
ทั้งนี้ได้นำเสนอหลักการพื้นฐาน 3 ข้อในการอ่านความหมายของโครงสร้างที่ได้จากการสมพงศ์ดวงชะตาโดยวิธีดวงซ้อนดวง ทั้ง 3 ข้อนี้เป็นหลักการที่ผู้เขียนได้รวบมาจากคำสอนทั่วไปในวิชาโหราศาสตร์สากล (ข้อ 1) และคำสอนของท่านอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ (ข้อ 2 และข้อ 3) จากประสบการณ์พบว่าสามารถนำไปใช้อ่านความหมายของโครงสร้างที่ได้จาก "ดวงซ้อนดวง" ได้เป็นอย่างดี แต่มีปัญหาเมื่อทดลองนำไปใช้อ่านความหมายของโครงสร้างสำคัญที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ ว่าเป็นสุดยอดของโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาคือโครงสร้าง อาทิตย์/จันทร์ และโครงสร้าง อังคาร/ศุกร์ เพราะผลการอ่านความหมายที่ได้มา ไม่ได้ดีเลิศหรือแสดงให้เห็นว่าเป็นโครงสร้างที่มีอิทธิพลมากมายอะไรอย่างที่เชื่อถือกันมา
เรื่องของการพิจารณากลั่นกรอง และให้น้ำหนักความสำคัญแก่โครงสร้างต่างๆที่ได้จาก "ดวงซ้อนดวง" ปัญหาการนำหลักเกณฑ์การสมพงศ์ดวงชะตามาใช้ในชีวิตจริง และการพิจารณาปัญหาที่ไม่สามารถนำหลักการ 3 ข้อที่เสนอไปใช้กับการอ่านความหมายของโครงสร้างศักดิ์สิทธิ์ 2 โครงสร้างของโบราณได้นั้น จะได้กล่าวถึงในโอกาสที่เหมาะสมในบทความตอนต่อๆไปครับ
ชาญชัย เดชะเสฏฐดี
21 กันยายน 2550
----------
ขอ ขอบคุณ ท่านผู้เขียนบทความที่ให้ความกรุณาแก่เว็บไซต์แห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางความคิดย่อมมีได้ และผมขอจำกัดความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของเว็บ เท่าที่กฎหมายและกติกาสังคมกำหนด ท่านที่ประสงค์จะร่วมเขียนบทความเช่นนี้ โปรดติดต่อ webmaster@rojn-info.com