“The effect of Kujadosha is to cause the person to be some how victimized in his marriage. This can of course , occur in any number of ways, but ultimately one is likely to end up divorced and generally through no obvious fault of one’s own. The person will also have to endure hardships in the marriage generated by the spouse.’
Ancient Hindu Astrology for the Modern Western Astrologer by James T. Braha
1. บทนำ
มังคลิกาโยค เป็นโครงสร้างร้ายในการสมพงศ์ดวงชะตาที่ระบบโหราศาสตร์ภารตะให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง โดยเป็นโครงสร้างที่จะต้องตรวจหาในดวงชะตาของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเป็นอันดับแรกก่อนการพิจารณาโครงสร้างสมพงศ์ดวงชะตาอื่นๆทั้งหมด หากตรวจพบโครงสร้างร้ายนี้ในดวงชะตาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่พบหลักเกณฑ์ยกเว้นที่กำหนดไว้ในตำราแล้ว นักโหราศาสตร์ภารตะในอินเดียจะห้ามการแต่งงานระหว่างหญิงชายคู่นั้นเด็ดขาด โดยไม่ต้องพิจารณาโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาใดๆอีก
2. โครงสร้างดาวเคราะห์ที่ทำให้เกิดมังคลิกาโยค
มังคลิกาโยคเกิดขึ้นจากตำแหน่งที่สถิตของดาวอังคารในดวงชะตาดังนี้
- ดาวอังคารสถิตในเรือนที่ 1 ยกเว้น อังคารในราศีเมษ
- ดาวอังคารสถิตในเรือนที่ 4 ยกเว้น อังคารในราศีพิจิก
- ดาวอังคารสถิตในเรือนที่ 7 ยกเว้น อังคารในราศีมังกร หรือ มีน
- ดาวอังคารสถิตในเรือนที่ 8 ยกเว้น อังคารในราศีกรกฎ
- ดาวอังคารสถิตในเรือนที่ 12 ยกเว้น อังคารในราศีธนู
ผลร้ายของมังคลิกาโยคจะทำให้เจ้าชะตาฝ่ายที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาต้องตกเป็นเหยื่อและได้รับความทุกข์ทรมานในชีวิตสมรส โดยไม่ได้เกิดจากความผิดของเจ้าชะตา จนกว่าจะมีการพลัดพรากจากกันด้วยการจากเป็น (หย่าร้าง) หรือจากตาย ซึ่งในสังคมที่ไม่ปิดกั้นการหย่าร้างนั้นมีผู้พบ (สถิติในประเทศตะวันตก) ว่าสถิติที่เจ้าชะตาที่มีมังคลิกาโยคปรากฏในดวงชะตาจะมีการหย่าร้างอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตสูงถึงเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงไม่น่าแปลกใจที่โหราศาสตร์ภารตะห้ามการแต่งงานระหว่างหญิงชายที่พบโครงสร้างนี้เพียงฝ่ายเดียวโดยเด็ดขาด
เมื่อพิจารณาตำแหน่งที่สถิตของดาวอังคารข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าตำแหน่งของดาวอังคารในภพที่ หนึ่ง สี่ เจ็ด และ สิบสอง ล้วนเป็นตำแหน่งที่ดาวอังคารให้แสงเต็มที่ ถึง ภพที่เจ็ด (กฎการให้แสงถึงของดาวอังคารคือดาวอังคารให้แสงเต็มที่ถึงราศีที่ 1, 4, 7 และ 8 จากราศีที่ดาวอังคารสถิต) ซึ่งเป็นภพที่แสดงถึง คู่ครองและชีวิตสมรส ดังนั้นด้วยความเป็นบาปเคราะห์ชั้นหนึ่งที่ให้โทษด้านความรุนแรง และการทำลายล้าง อังคารจึงทำให้ชีวิตสมรสของเจ้าชะตาไม่อาจมีความสงบสุขได้ จนกว่าจะมีการจากเป็นหรือจากตายในที่สุด เฉพาะดาวอังคารในภพที่ 8 เท่านั้นที่ไม่ได้ให้แสงถึงภพที่ 7 แต่ตำราก็กำหนดให้เป็นโครงสร้างมังคลิกาโยคด้วย ซึ่งผู้เขียนคิดว่ามีเหตุผลดังนี้
ก. ถ้าดูในคัมภีร์อินเดียโบราณแล้วจะพบว่าเกือบทุกคัมภีร์ให้ความหมายของภพที่สองว่าหมายถึงชีวิตครอบครัวด้วย ดังนั้นดาวอังคารในภพที่แปดจึงเล็งภพที่สองโดยตรง ผลคือทำให้เจ้าชะตาไม่สามารถมีความสุขสงบในชีวิตครอบครัวได้
ข. ดาวอังคารเป็นดาวบาปเคราะห์ชั้นหนึ่ง เมื่อมาอยู่ในภพมรณะซึ่งเป็นทุสถานะภพชั้นหนึ่งเช่นกัน จึงทำให้เกิดผลเลวร้ายยิ่งขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จนถึงขนาดที่ตำราโหราศาสตร์ไทยเราเรียกอังคารในภพที่แปดว่าเป็น “ดวงแตก หรือ พินทุบาทว์” โครงสร้างหนึ่ง ดังกลอนแต่โบราณที่ว่า
เสาร์เพ่งเล็งลัคน์แล้วอสุรา
ภุมเมศร์อัษฎาว่าไว้
จันทร์เป็นสิบเอ็ดกับราหูเล่า
อาภัพอัปประภาคย์ให้โทษแท้ประเหิรหิน
พิธียัญชน์ (Yagyas หรือ Yajna) เป็นหนึ่งในสามของวิธีการที่ใช้ในระบบโหราศาสตร์ภารตะเพื่อแก้ไขและหรือบรรเทาผลจากโครงสร้างร้ายในดวงชะตา เป็นพิธีใหญ่ (อาจจัดแบบเล็กโดยใช้นักบวชคนเดียวก็ได้) ใช้นักบวชในศาสนาฮินดูหลายคนร่วมกันสวดมนตราที่เกี่ยวข้องและทำพิธียัญชน์ไปด้วยพร้อมกัน ใช้ได้ทั้งในการแก้ไขและหรือบรรเทาผลร้ายในพื้นดวงชะตาและในดวงชะตาจร
อาจารย์เทพย์ สาริกบุตรกล่าวถึงอังคารเป็นแปดในดวงชะตาไว้ว่าเป็นโครงสร้างร้ายที่เป็นอัปมงคลและให้โทษแก่ดวงชะตามากที่สุดโครงสร้างหนึ่ง จนถึงขนาดว่าในการวางดวงฤกษ์นั้นห้ามวางดาวอังคารไว้ในภพที่แปดเป็นอันขาด เนื่องจากดาวอังคารเป็นดาวแห่งกำลัง และความเข้มแข็ง เมื่อไปอยู่ในเรือนที่แปด เรือนมรณะ จึงทำให้ดวงฤกษ์นั้นไม่มีกำลังโดยสิ้นเชิง และกิจกรรมตามเป้าหมายของดวงฤกษ์นั้นๆจะไม่สามารถบรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้เลย ในดวงชะตาบุคคลก็เช่นกัน ถ้าดาวอังคารสถิตในภพที่แปด เจ้าชะตาจะไม่มีกำลัง ความเข้มแข็งที่จะต่อสู้อุปสรรคใดๆในชีวิตได้เช่นเดียวกัน
ค. ในส่วนผลร้ายของมังคลิกาโยคจากอังคารในภพที่แปดนั้น แม้จะไม่ได้ให้แสงถึงถึงภพที่เจ็ด แต่ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าพิจารณาโดยหลักเหตุผลสืบเนื่องต่อไปจะเห็นได้ว่าย่อมให้ผลร้ายแก่ชีวิตสมรสได้ทั้งในกรณีที่เจ้าชะตาเป็นผู้ชายและเป็นผู้หญิง ในกรณีที่เจ้าชะตาเป็นผู้ชายเมื่อดาวอังคารอยู่ในเรือนที่แปดทำให้กำลังและความเข้มแข็งในฐานะผู้ชายถูกเบียนอย่างแรง เขาจึงไม่สามารถแม้กระทั่งจะดูแลรักษาคู่ครองและชีวิตสมรสของเขาให้ดีได้ ส่วนกรณีที่เจ้าชะตาเป็นผู้หญิง เมื่อดาวอังคารซึ่งเป็นการก (ตัวแทน) ของสามีในดวงชะตาหญิงปราศจากกำลังโดยสิ้นเชิง เจ้าชะตาก็ย่อมไม่สามารถจะมีความสุขในชีวิตสมรสจากสามีได้เช่นกัน
3. ความถูกต้องแม่นยำของโครงสร้างนี้
ผู้เขียนเห็นด้วยกับความเห็นของระบบโหราศาสตร์ภารตะว่าโครงสร้างมังคลิกาโยคนี้เป็นโครงสร้างร้ายที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรกในการเปรียบเทียบสมพงศ์ดวงชะตาหญิงและชายที่จะแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน เพราะโครงสร้างนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 5 คนในทุก 12 คน และผลร้ายที่เกิดขึ้นก็รุนแรงมาก ถึงขั้นทำให้เจ้าชะตาอาจไม่มีความสุขในชีวิตสมรสไปจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะจากกันไปไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม คำถามจึงมีว่าแล้วความถูกต้องแม่นยำของโครงสร้างนี้เฉียบขาดหรือไม่อย่างไร เพราะถ้าไม่แม่นยำเฉียบขาดก็คงยังไม่น่ากลัวเท่าใดนัก แต่น่าเสียดายที่จากประสบการณ์ผู้เขียนพบว่า โครงสร้าง “มังคลิกาโยค” เป็นโครงสร้างที่แม่นยำเฉียบขาดที่สุดโครงสร้างหนึ่งในวิชาโหราศาสตร์ทีเดียว!
มังคลิกาโยค: ผลร้ายของมังคลิกาโยคจะทำให้เจ้าชะตาฝ่ายที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาตกเป็นเหยื่อและได้รับความทุกข์ทรมานในชีวิตสมรส โดยไม่ได้เกิดจากความผิดของเจ้าชะตา…….
James T Braha นักโหราศาสตร์ภารตะชาวอเมริกันซึ่งตำราโหราศาสตร์ภารตะของเขา (ดูหมายเหตุข้างล่าง) ได้รับความนิยมแพร่หลายที่สุดในโลก (ขายดีที่สุดในโลก) แสดงความเห็นสนับสนุนความร้ายของมังคลิกาโยค โดยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “โดยเฉพาะในสังคมตะวันตกที่ประเพณีวัฒนธรรมไม่กดดันปิดกั้นการหย่าร้างนั้น พบว่าโครงสร้างมังคลิกาโยคในดวงชะตามีผลทำให้เกิดการหย่าร้าง (ในที่สุด) อย่างน้อยหนึ่งครั้งเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์”!
ในประเทศอินเดียซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูและยังคงเคร่งครัดกับการตรวจดวงชะตาหญิงชายก่อนการแต่งงานนั้น สถิติการหย่าร้างมีน้อยมากเมื่อเทียบกับบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายหรือแม้กระทั่งกับประเทศไทย (สถิติการหย่าร้างในประเทศสหรัฐอเมริกาล่าสุด ซึ่งสูงที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ของคู่สมรสในขณะที่ในประเทศอินเดียสถิติการหย่าร้างล่าสุดประมาณ ร้อยละ 1 และในประเทศไทยประมาณร้อยละ 6) แน่นอนประเพณีและวัฒนธรรมที่กดดันและปิดกั้นการหย่าร้างย่อมมีผลอยู่ด้วยมาก แต่การกลั่นกรองดวงชะตาหญิงชายที่จะแต่งงานกันก่อนด้วยการตรวจหา “มังคลิกาโยค” และห้ามการแต่งงานระหว่างหญิงชายคู่นั้นเสียก่อน อาจมีส่วนช่วยลดปัญหาและทุกข์โทษในชีวิตสมรสให้กับคู่สามีภรรยาในประเทศอินเดียไว้ได้เป็นจำนวนมาก
การใช้อัญมณีแก้ไขและบรรเทาผลจากโครงสร้างร้ายในดวงชะตา เป็นวิธีพื้นฐานอันดับแรกในการแก้ไข/ปรับปรุงดวงชะตาในระบบโหราศาสตร์ภารตะ หลักการพื้นฐานก็คือมหาฤาษีแต่โบราณเชื่อว่าในอัญมณีต่างๆนั้นจะมีพลังแสงสีตรงกับดาวเคราะห์ต่างๆในจักรวาล ดังนั้นถ้าในดวงชะตาใดดาวเคราะห์ใดอ่อนแอหรือถูกเบียนอย่างหนัก การประดับกายด้วยอัญมณีที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถบรรเทาผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าชะตาได้ เนื่องจากอัญมณีดังกล่าวจะไปเสริมความเข้มแข็งให้กับดาวเคราะห์ที่กำลังถูกเบียนในดวงชะตา
4. ข้อพิจารณา
1) หลักการพื้นฐานของโหราศาสตร์ภารตะนั้นให้พิจารณาตำแหน่งของจันทร์เสมือนเป็นลัคนาประกอบด้วย และมีนักโหราศาสตร์ภารตะส่วนหนึ่งเห็นด้วยว่าควรพิจารณา “มังคลิกาโยค” จากตำแหน่งของจันทร์ด้วย แต่ James T Braha มีความเห็นว่าถ้านำตำแหน่งของจันทร์มาพิจารณาด้วย โอกาสเกิดโครงสร้างนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นไปอีก ซึ่งน่าจะมากเกินไปกว่าที่ควรจะยอมรับได้ และไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาจึงพิจารณาโครงสร้างนี้จาก ลัคนาเท่านั้น ผู้เขียนเห็นว่าคงต้องค่อยๆศึกษาและเก็บสถิติกันต่อไปว่าเป็นอย่างไรแน่
2) James T Braha กล่าวว่าจากประสบการณ์ของเขานั้น ข้อยกเว้นมังคลิกาโยคที่ว่าด้วยดาวอังคารสถิตในราศีที่กำหนดเช่น อังคารในภพที่ 7 ถ้าตรงกับราศี มังกรหรือมีนไม่ถือว่าเป็นมังคลิกาโยคนั้น อาจใช้ได้กับสังคมในอินเดีย หรือในโลกตะวันออกอื่นๆ แต่ในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะสังคมอเมริกันนั้นใช้ไม่ได้ผลเลย มังคลิกาโยคยังคงแสดงอิทธิพลทำให้เกิดความทุกข์ในชีวิตสมรสและการหย่าร้างเช่นเดียวกับดาวอังคารในราศีอื่นๆทุกประการ
3) เท่าที่ศึกษาจากคัมภีร์อินเดียโบราณฉบับต่างๆ ไม่พบโครงสร้างใดๆที่ตำรากล่าวไว้ว่าสามารถบรรเทาโทษจากมังคลิกาโยคได้โดยตรงเลย อีกทั้งไม่พบวิธีการใดๆ (พิธีกรรม, การใช้อัญมณี หรือ มนตรา ฯลฯ) ที่จะกระทำเพื่อแก้ไขโทษจากมังคลิกาโยคได้โดยตรงเช่นกัน
4) ตำรากล่าวไว้ตรงกันทุกตำราว่ามีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขผลร้ายของมังคลิกาโยคได้โดยตรงคือ ต้องแต่งงานกับคนที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาเหมือนกัน
การบริกรรมมนตรา เป็นวิธีที่สองใน 3 วิธี สำหรับแก้ไขบรรเทาผลร้ายในดวงชะตาในระบบโหราศาสตร์ภารตะ ผลของการบริกรรมมนตรานั้นตำราบอกว่าไม่ต่างจากการทำพิธียัญชน์ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถบริกรรมมนตราได้ และหรือไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในการจ้างนักบวชทำพิธีให้ (ซึ่งแพงมาก และหาสถานที่รับทำในประเทศไทยคงยากมาก หากจะจ้างทำในอินเดียหรือสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนเคยลองตรวจสอบราคาดูแล้ว ราคาเป็นหลายแสนบาทต่อการทำพิธีแต่ละครั้ง!)
5) ผลร้ายของมังคลิกาโยคทำให้เกิดการหย่าร้างอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นถ้าโครงสร้างดาวเคราะห์อื่นๆที่ชี้บอกเรื่องคู่ครองและชีวิตสมรสไม่เลวร้ายซ้ำเติมแล้ว เจ้าชะตาก็มีโอกาสจะมีความสุขในชีวิตสมรสได้ในการแต่งงานครั้งต่อๆไป ซึ่ง James Braha มีความเห็นว่าในกรณีที่โครงสร้างอื่นไม่เลวร้ายแล้วเจ้าชะตาจะมีโอกาสได้แต่งงานกับคนที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาเช่นเดียวกันในการแต่งงานครั้งต่อๆไป แต่ถ้ามีโครงสร้างร้ายอื่นๆที่รุนแรงซ้ำเติม เช่นดาวศุกร์และหรือเจ้าเรือนภพที่เจ็ดถูกเบียนอย่างแรง หรือมีบาปเคราะห์ใหญ่อื่นๆเบียนเรือนที่เจ็ด ฯลฯ เจ้าชะตาอาจไม่ได้พบความสุขในชีวิตสมรสเลยตลอดชีวิต และต้องลงเอยด้วยการจากเป็นหรือจากตายทุกครั้งที่มีการแต่งงาน หรือไม่ก็อาจไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นเลยตลอดชีวิตก็ได้
6) เจ้าชะตาฝ่ายที่มีมังคลิกาโยคนั้นต้องตกเป็นเหยื่อในชีวิตสมรสโดยความผิดที่ไม่ได้เกิดจากเจ้าชะตา แต่ก็ไม่แน่ว่าเป็นความผิดจากคู่สมรส เพราะอาจไม่ใช่เป็นความผิดของคู่สมรสเช่นเดียวกัน แต่จะต้องมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้นจากอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสมรสของทั้งคู่และมีผลทำให้ฝ่ายที่มีมังคลิกาโยคใน ดวงชะตาต้องเป็นเหยื่อรองรับผลร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของคู่สมรส
7) สืบเนื่องจากข้อ 6 ก็คือ โครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาชั้นยอดที่มีกำลังแรงระหว่างดวงชะตาทั้งสองจะช่วยแก้ไขและหรือบรรเทาผลร้ายของมังคลิกาโยคได้หรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าไม่สามารถแก้ไขโดยตรงได้ เพราะมังคลิกาโยคไม่ได้บอกว่าสาเหตุของความเลวร้ายเกิดจากคู่สมรส แต่บอกว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตสมรสของเจ้าชะตา โครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาชั้นยอดที่มีกำลังเพียงบอกว่า สองคนนี้เข้ากันได้ดีมาก แต่เรื่องเลวร้ายไม่ได้เกิดจากคนสองคนนี้แต่เกิดจากสาเหตุใดๆก็ได้ที่จะเข้ามาทำลายชีวิตสมรสนั้น อย่างไรก็ตามโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาที่ดีและมีกำลังน่าจะช่วยให้ความพยายามสร้างกรรมใหม่ที่ดีของคนทั้งสองเพื่อเข้ามาต่อต้านผลร้ายของมังคลิกาโยคมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะโดยหลักการพื้นฐาน กรรมใหม่ย่อมเข้ามาเสริมหรือต่อต้านกรรมเก่าที่มีมาแต่อดีตชาติได้ไม่มากก็น้อย
มังคลิกาโยค: ……….จนกว่าจะมีการพลัดพรากจากกันด้วยการจากเป็น (หย่าร้าง) หรือจากตาย ซึ่งในสังคมที่ไม่ปิดกั้นการหย่าร้างนั้นมีผู้พบ (สถิติในประเทศตะวันตก) ว่าสถิติที่เจ้าชะตาที่มีมังคลิกาโยคปรากฏในดวงชะตาจะมีการหย่าร้างอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตสูงถึงเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงไม่น่าแปลกใจที่โหราศาสตร์ภารตะห้ามการแต่งงานระหว่างหญิงชายที่พบโครงสร้างนี้เพียงฝ่ายเดียวโดยเด็ดขาด
5. แนวทาง และวิธีการแก้ไขผลร้ายจากมังคลิกาโยค
ในทางทฤษฎีแล้วผู้เขียนเห็นว่าวิธีปฏิบัติของนักโหราศาสตร์ในประเทศอินเดีย และความเห็นของ James Braha ที่ห้ามการแต่งงานโดยเด็ดขาด ชี้ชัดเจนว่าไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากการแต่งงานกับคนที่มีมังคลิกาโยคเหมือนกันเท่านั้น แต่ในอินเดียนั้นการแต่งงานส่วนใหญ่เป็นการแต่งงานในลักษณะคลุมถุงชนคือพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายตกลงหมั้นหมายให้ ดังนั้นระหว่างหญิงชายทั้งสองจึงไม่ได้มีความรักความผูกพันอะไร การยกเลิกการแต่งงานจึงทำได้ไม่ยาก ไม่ได้มีใครเสียใจอะไรหรือสูญเสียอะไรมากมาย ส่วนในประเทศตะวันตกนั้นสังคมและวิถีปฏิบัติในปัจจุบันก็ยอมรับเรื่องของการมีความรัก มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหญิงชาย เป็นพฤติกรรมปกติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว หากจะยกเลิกการแต่งงานเพียงเพราะกฎเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ที่ค่อนข้างแม่นยำเฉียบขาดเพียงข้อเดียว การไม่ยอมเสี่ยงอาจจะคุ้มกว่าก็ได้ เพราะโดยทั่วไป (ส่วนใหญ่) ความรักความผูกพันก็คงไม่ได้มีมากมายอะไร จึงไม่ได้มีใครต้องสูญเสียหรือเสียใจอะไรนัก ในสังคมอินเดียและในสังคมตะวันตกโดยทั่วไปวิธีปฏิบัติที่ห้ามการแต่งงานโดยเด็ดขาดจึงเป็นวิธีปฏิบัติที่น่าจะเหมาะสมที่สุดกับสภาพสังคมของเขาแล้ว
ระบบการแก้ไขและบรรเทาผลของโครงสร้างร้ายในดวงชะตาประกอบด้วยวิธีการหลัก 3 ประการได้แก่ การใช้อัญมณี การบริกรรมมนตรา และพิธียัญชน์
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าถ้าเป็นคู่รักที่ตัดสินใจจะแต่งงานกันเนื่องจากสาเหตุอื่นๆทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่ใช่ความรัก ความผูกพัน เช่นเพราะความเหมาะสมในฐานะทางสังคม เกียรติยศชื่อเสียง สมบัติ ลาภยศ เงินทอง ฯลฯ หากจะล้มเลิกการแต่งงานเพราะพบมังคลิกาโยคในดวงชะตา ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเสียใจและเสียดายอะไรนัก อาจคุ้มกับการที่ไม่ต้องเสี่ยงกับโอกาสสูงมากที่จะต้องเจ็บปวดในชีวิตสมรส แต่ถ้าเป็นกรณีที่เกิดจากความรักความผูกพันอย่างจริงใจของคนรักทั้งสองแล้ว ผู้เขียนคิดว่าคนรักทั้งสองน่าจะฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่าโหราศาสตร์ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1) รักแท้ระหว่างหญิงกับชาย ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกย่างหนึ่งที่พระจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์ รักแท้จึงมีคุณค่าและมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ คนรักทั้งสองจึงไม่ควรจะถอดใจยอมแพ้เพียงเพราะหลักเกณฑ์ข้อเดียวในวิชาโหราศาสตร์ ตรงกันข้ามเขาทั้งสองควรจะต่อสู้เพื่อความรักและอาศัยความรักนั้นเองเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขและบรรเทาผลร้ายจากมังคลิกาโยคในดวงชะตา
2) กฎเกณฑ์ทางโหราศาสตร์นั้นต่อให้แม่นยำเฉียบขาดเพียงใด ในสิบครั้งก็จะมีอย่างน้อยที่สุด 1 หรือ 2 ครั้งที่กฎเกณฑ์นั้นๆไม่ทำงาน คนที่ใช้วิชาโหราศาสตร์มาช่วงเวลาหนึ่งจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะจะมีบางครั้งที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมกฎเกณฑ์ที่ว่าแม่นยำเฉียบขาด กลับไม่ทำงานในดวงชะตาที่กำลังพิจารณาอยู่ ผู้เขียนคิดว่ากฎเกณฑ์ที่แม่นยำเฉียบขาดในวิชาโหราศาสตร์นั้นอย่างมากที่สุดก็จะถูก 8 หรือ 9 ครั้ง ใน 10 ครั้ง โครงสร้างใดที่ทายถูกตั้งแต่ 3 ครั้งใน 10 ครั้งลงมา ถือว่าโครงสร้างนั้นใช้ไม่ได้แน่นอน เพราะการทายแบบเดาโดยไม่ต้องใช้หลักวิชาอะไรเลยก็สามารถทายได้ถูก 3 ครั้งใน 10 ครั้ง อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบโดยทฤษฎีทางโหราศาสตร์ล้วนๆ กับ รักแท้ที่มีคุณค่ายิ่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคุ้มค่าที่จะเสี่ยง แม้โอกาสประสบความสำเร็จจะมีเพียงสองในสิบเท่านั้นก็ตาม
รักแท้ระหว่างหญิงกับชาย ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกย่างหนึ่งที่พระจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์ รักแท้จึงมีคุณค่าและมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ คนรักทั้งสองจึงไม่สมควรจะถอดใจยอมแพ้เพียงเพราะหลักเกณฑ์ข้อเดียวในวิชาโหราศาสตร์ ตรงกันข้ามควรจะต้องต่อสู้เพื่อความรักและอาศัยความรักนั้นเองเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขและบรรเทาผลร้ายจากมังคลิกาโยคในดวงชะตา
3) กฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือกว่าโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเพียงเรื่องของกรรมเก่าก็คือ กฎแห่งกรรม กรรมใหม่ที่คนรักทั้งสองช่วยกันปฏิบัติดีต่อกันและต่อคนอื่นๆในชีวิตในภพนี้ชาตินี้ ย่อมสามารถแก้ไขและบรรเทาผลร้ายของมังคลิกาโยคในดวงชะตาได้ ไม่มากก็น้อย
4) โหราศาสตร์ภารตะได้กำหนดระบบและวิธีการในการแก้ไขผลจากโครงสร้างร้ายในดวงชะตาไว้ด้วย ซึ่งถูกต้องตามหลักตรรกะเหตุผล เพราะจะมีประโยชน์อะไรถ้าวิชาโหราศาสตร์เพียงบอกได้ว่ามีโครงสร้างร้ายในดวงชะตาซึ่งจะให้ผลร้ายอย่างไรในพื้นดวงและในอนาคตที่กำลังจะมาถึง แต่ไม่ได้บอกวิธีการแก้ไขและหรือบรรเทาผลร้ายไว้ด้วย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรจากการเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์เลย
การปฏิบัติตามระบบวิธีการแก้ไขผลจากโครงสร้างร้ายในดวงชะตานี้เรียกว่า Upayes ซึ่งมีด้วยกัน 3 วิธีการหลักๆได้แก่ การใช้อัญมณี (Gemstones) การบริกรรมมนตรา (Mantra) และพิธียัญชน์ (Yagyas) เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากในโหราศาสตร์ภารตะ มีข้อโต้แย้งต่างๆมากมายในแวดวงของโหราศาสตร์ภารตะเอง และความไม่เห็นด้วยจากแนวคิดของโหราศาสตร์สำนักต่างๆ และจากหลักปรัชญา หลักศาสนาต่างๆ มากมาย ซึ่งผู้เขียนตั้งใจว่าถ้าสามารถทำได้จะเขียนถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะในโอกาสต่อไป
ในเบื้องต้นผู้เขียนขอสรุปเพียงว่า การปฏิบัติตามวิธีการที่หนึ่งและสอง คือ การใช้อัญมณี และการบริกรรมมนตรานั้น ไม่ได้มีผลเสียใดๆเลย มีแต่ประโยชน์ในเบื้องต้นที่เห็นได้ชัดเจน ส่วนผลการแก้ดวงนั้นจะได้หรือไม่เพียงใดก็ย่อมถือว่าผู้ปฏิบัติได้พยายามทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีความจริงอยู่ส่วนหนึ่งวิธีการนี้ก็คงจะไม่เป็นที่ยอมรับปฏิบัติสืบทอดกันมาในหมู่คนเป็นร้อยล้านพันล้านคนนับพันๆปีมาจนถึงปัจจุบัน และก็ยังคงมีนักโหราศาสตร์มากมายสนับสนุนวิธีการนี้อย่างแข็งขันในปัจจุบันเช่น James Braha ก็เป็นนักโหราศาสตร์คนหนึ่งที่สนับสนุนวิธีการนี้จนถึงขนาดประกาศว่าถ้าเขาไม่ได้แนะนำวิธีแก้ไขและบรรเทาผลร้ายให้กับคนที่กำลังจะมีโชคร้ายหรือกำลังอยู่ในเคราะห์กรรมเนื่องจากโครงสร้างร้ายในดวงชะตา เขาขอเลิกการเป็นนักโหราศาสตร์ไปเลยจะดีกว่า! สำหรับผู้เขียนมีความเห็นในเรื่องนี้ทำนองเดียวกับเรื่องการใช้วิธีทางโหราศาสตร์เพื่อกำหนดเวลาสำหรับการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ คือถ้าการปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียหรือเสียเงินเสียทองอะไร และไม่มีผลร้ายข้างเคียงอะไร ก็สมควรจะทำ เพราะถ้าวิธีการเขาไม่ดีไม่ได้มีความจริงและผลสำเร็จอยู่บ้างคงไม่สามารถอยู่ยั้งยืนยงในสังคมขนาดใหญ่อย่างประเทศอินเดียมาได้หลายพันปีจนถึงทุกวันนี้
ในเรื่องของอัญมณีนั้น การพกพาอัญมณีที่เหมาะสมกับดวงชะตาในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม แม้ในบางกรณีอาจต้องใช้เงินค่อนข้างมากแต่ก็ถือเป็นการสะสมทรัพย์สินได้ และในระยะยาวมูลค่าของอัญมณีโดยทั่วไปมีแต่จะสูงขึ้นคล้ายๆทองคำ ส่วนการบริกรรมมนตรานั้นมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับแล้วว่าเป็นรูปแบบของการทำสมาธิอย่างหนึ่งซึ่งมีแต่ให้ผลดีทั้งต่อร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติ และการบริกรรมมนตรานี้ไม่ต้องใช้เงินเลย จะมีก็เพียงวิธีที่ 3 ที่ต้องใช้เงินมากเพราะการจ้างนักบวชในศาสนาฮินดูทำพิธีให้นั้น ในประเทศไทยคงหาสถานที่ทำได้ยากมาก หากจะให้เทวะสถานในอินเดีย อเมริกา หรือยุโรป ทำให้ ค่าใช้จ่ายสูงมากเป็นหลักหมื่นหลักแสน หลายๆแสนบาท คงจะเหมาะสำหรับผู้ที่ทดลองปฏิบัติสองวิธีแรกแล้วเห็นว่าได้ผล ถ้ามีฐานะพอทำได้ค่อยคิดใช้วิธีที่ 3 ต่อไป อย่างไรก็ตามตำรายืนยันว่าการบริกรรมมนตราและการประกอบพิธียัญชน์นั้นให้ผลไม่ต่างกัน ในขณะที่การใช้อัญมณีนั้นเป็นการเสริมดวงชะตาในอีกลักษณะหนึ่งซึ่งก็มีความสำคัญเช่นกัน
ผู้เขียนคิดว่าหลักการพื้นฐานเรื่องการแก้ไขปรับปรุงดวงชะตา ด้วยวิธีการทั้งสามนี้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้แก้ไขและบรรเทาผลร้ายจากมังคลิกาโยคได้ แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน คงต้องอาศัยเวลาในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ถ้าเป็นไปได้ก็จะนำมาเขียนลงเป็นบทความเฉพาะเรื่องในโอกาสต่อไป
5) เพื่อสิ่งที่ตนเองรัก มนุษย์เราบางครั้งและบางคนก็เต็มใจที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด แม้ว่าโอกาสชนะจะไม่มีเลย บางครั้งบางคนก็ยอมสู้จนตัวตาย แล้วทำไมกับเรื่องความรักความผูกพันของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เราจะถอดใจยอมแพ้เพียงเพราะคำทำนายจากโครงสร้าง “มังคลิกาโยค” ในวิชาโหราศาสตร์เท่านั้น ซึ่งถ้าผลออกมาร้ายที่สุดก็ยังไม่ถึงตาย
6. สรุป
มังคลิกาโยคเป็นโครงสร้างร้ายในการเปรียบเทียบสมพงศ์ดวงชะตาหญิงชายที่จะแต่งงานอยู่กินร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยากันที่โหราศาสตร์ภารตะมีมติว่าเป็นโครงสร้างร้ายอันดับแรกที่ต้องพิจารณาก่อนโครงสร้างอื่นใดทั้งหมด และถ้าพบโครงสร้างนี้ในดวงชะตาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่พบหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นแล้ว จะห้ามการแต่งงานนั้นโดยเด็ดขาด และโดยไม่ต้องพิจารณาโครงสร้างการสมพงศ์ดวงชะตาใดๆอีก
จากประสบการณ์ของผู้เขียนและจากเนื้อหาในตำราโหราศาสตร์ของนักโหราศาสตร์ภารตะชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง James T Braha มีความเห็นตรงกันว่าหลักเกณฑ์เรื่องมังคลิกาโยคในโหราศาสตร์ภารตะนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่แม่นยำเฉียบขาดที่สุดหลักเกณฑ์หนึ่งในวิชาโหราศาสตร์ โดยในประเทศที่ประเพณีและวัฒนธรรมในสังคมไม่ปิดกั้นการหย่าร้างแล้ว พบว่าสถิติการหย่าร้างอย่างน้อยหนึ่งครั้งของเจ้าชะตาที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาสูงถึงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่วิธีการแก้ไขผลร้ายจากโครงสร้างนี้โดยตรงตำราบอกไว้เพียงวิธีเดียวคือต้องแต่งงานกับคนที่มีมังคลิกาโยคในดวงชะตาเหมือนกันเท่านั้น
ในสังคมอินเดียที่ส่วนใหญ่การแต่งงานเป็นการคลุมถุงชน ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นฝ่ายติดต่อทาบทามสู่ขอกัน ถ้าพบมังคลิกาโยคในดวงชะตา การยกเลิกการแต่งงานจึงสามารถทำได้ง่ายโดยไม่ได้มีใครต้องเสียใจหรือสูญเสียอะไรมากมาย ส่วนในสังคมตะวันตกปัจจุบันนั้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน การเปลี่ยนคู่รักคู่นอน เป็นเรื่องปฏิบัติปกติในสังคมไปแล้ว หากพบมังคลิกาโยคและจะยกเลิกความสัมพันธ์นั้นๆ โดยทั่วไปแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องมีใครเสียใจและสูญเสียอะไรมากนัก แต่ในกรณีที่รักแท้และความผูกพันนำมาสู่การตัดสินใจแต่งงานนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะรักแท้ระหว่างหญิงกับชายก็เป็นสิ่งศํกดิ์สิทธ์อีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์ การจะตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีค่ายิ่งเพียงเพราะหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์เพียงข้อเดียวจึงไม่น่าจะสมเหตุผล
ถ้าการแต่งงานนั้นมีสาเหตุมาจากเหตุผลอื่นๆที่ไม่ใช่ความรักและความผูกพันแล้ว ก็อาจคุ้มค่าที่จะยกเลิกการแต่งงานเพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสค่อนข้างสูงที่จะต้องพบกับความเจ็บปวดและขมขื่นในชีวิตสมรส แต่ถ้าเป็นการแต่งงานที่มีสาเหตุมาจากความรักความผูกพันแล้ว คนรักทั้งสองน่าจะฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่าฟังหลักเกณฑ์ข้อเดียวในวิชาโหราศาสตร์ เพราะโอกาสที่คนรักทั้งสองและรักแท้ระหว่างคนทั้งสองจะเอาชนะมังคลิกาโยคได้ก็มีไม่น้อยดังรายละเอียดที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อที่ห้า และแม้ว่าในที่สุดจะแพ้ก็ยังได้ชื่อว่าได้พยายามต่อสู้เพื่อความรักและเพื่อคนรักของตัวเองจนถึงที่สุดแล้ว
หมายเหตุ
James T. Braha เป็นนักโหราศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งตำราโหราศาสตร์ภารตะของเขาได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศอินเดียเองด้วย ในโลกตะวันตกถือกันว่าตำราของเขาเป็นตำราเล่มแรกที่สามารถไขความมืดมัวที่ปิดกั้นโลกตะวันตกไว้จากวิชานี้มาเป็นร้อยๆปีได้ และมีผลทำให้ชาวตะวันตกจำนวนมากเข้ามาศึกษาโหราศาสตร์ภารตะในระบบนิรายะนะกันอย่างแพร่หลายดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ผู้เขียนมีความเห็นว่าตำราของเขาเป็นตำราโหราศาสตร์ในระบบนิรายะนะที่ดีที่สุดในโลกชุดหนึ่งแน่นอน ผู้ที่สนใจโหราศาสตร์ในระบบนิรายะนะทุกคนถ้าพออ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้ควรต้องหามาศึกษาให้ได้ ตำราโหราศาสตร์ที่เขาเขียนไว้จนถึงปัจจุบันมี 5 เล่มได้แก่
- Ancient Hindu Astrology for the Modern Western Astrologer
- How To Be a Great Astrologer; the Planetary Aspects Explained
- How to Predict Your Future; Secrets of Eastern and Western Astrology
- Astro-Logos; Revelations of a Hindu Astrologer
- The Art and Practice of Ancient Hindu Astrology
โดยเฉพาะเล่มที่ 1 ซึ่งเป็นเล่มแรกสำหรับผู้เริ่มต้น สามารถเขียนอธิบายทฤษฎีได้ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ส่วนเล่มที่ 5 นั้นเป็นเล่มล่าสุดที่เขาเขียนขึ้นในเชิงปฏิบัติโดยสรุปจากการใช้วิชานี้ในฐานะนักโหราศาสตร์อาชีพมาหลายสิบปี
ชาญชัย เดชะเสฏฐดี
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2555
----------
ขอขอบ คุณ ท่านผู้เขียนบทความที่ให้ความกรุณาแก่เว็บไซต์แห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางความคิดย่อมมีได้ และผมขอจำกัดความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของเว็บ เท่าที่กฎหมายและกติกาสังคมกำหนด ท่านที่ประสงค์จะร่วมเขียนบทความเช่นนี้ โปรดติดต่อ webmaster@rojn-info.com
