(ปรับปรุงจากที่เคยเขียนเป็นตอนๆ ใน rojn.blogth.com ช่วงปีพ.ศ.2550)
เกริ่นนำ
เปิดเว็บโหราศาสตร์ยุคไอทีมาก็นาน โดยตอนแรกต้องการโปรโมทโปรแกรม ความที่อยากสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ก็ต้องนำเรื่องความรู้ทางโหราศาสตร์ยูเรเนียนมาเผยแพร่บ้าง ด้วยความหวังลึกๆ ว่าอยากให้ได้เรียนรู้ศาสตร์นี้กันเพื่อนำไปใช้เพื่อการพึ่งพาตนเองด้วยความ รู้เท่าทันในจังหวะดาวที่มีผลต่อจังหวะชีวิต
แต่จะว่าคนไทยไม่ พัฒนาหรือผมหลงลืมประเด็นนี้ก็ไม่ทราบ ดูเหมือนว่าคำถามที่อยู่ในเว็บบอร์ดจะยังวนเวียนอยู่กับเรื่องไม่กี่เรื่อง คนที่มาขอดูดวงแต่ละรายคล้ายกับสร้างปัญหาให้ตัวเองจนเจ็บหนักแล้วจะมาหวัง ให้เราเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรให้ได้ คนที่พอมีความรู้บ้าง หลายรายเหมือนจะมาเอาจากเว็บบอร์ดอย่างเดียว แทนที่จะแบ่งปันแลกเปลี่ยน บางรายจะขอฤกษ์ไปทำนู่นทำนี่ยังกับนักโหราศาสตร์เป็นผู้วิเศษที่จะใช้ฤกษ์ เสกอะไรก็ได้ ฯลฯ
ปัญหาโดยสรุปคง เหมือนกับในสังคมทั่วไป คือ พวกหนึ่งก็ไม่รู้จักพึ่งตัวเองซักที อีกพวกหนึ่งก็จะเอาแต่ได้ โดยมีรากฐานความเชื่อว่าโหราศาสตร์เป็นแก้วสารพัดนึก
ต้องขอย้ำอีกทีว่า ที่จริงแล้วโหราศาสตร์เป็นเพียงข้อมูลด้านหนึ่งของชีวิตที่จะช่วยเติมเต็ม ข้อมูลด้านอื่นๆ เช่น ข่าวสารบ้านเมือง การดูแลสุขภาพ ฯลฯ ให้ชีวิตสมบูรณ์มีคุณภาพมากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่ดูดวงจนทำมาหากินอะไรไม่เป็น แล้วเลยเอาโหราศาสตร์ไปเล่น "หวย-หุ้น-บอล" หรือขยับตัวจะทำอะไรทีก็ต้องดูดวงกันที
ในทางกลับกัน หากจะอวดดีไม่พึ่งโหราศาสตร์เลย ชีวิตคุณก็อาจตกข่าวจนเกิดปัญหาขึ้นได้
บทความต่อไปนี้ จะพยายามให้ข้อคิดว่า ควรใช้โหราศาสตร์เท่าที่จำเป็น ปัญหาบางประการหรือหลายๆ ประการที่ชอบถามในการดูดวงกันนั้น ความจริงแล้วหากตรวจสอบหรือปฏิบัติตนเองให้ดีๆ อาจจะไม่ต้องดูดวงก็ได้ หรือหากจะต้องใช้โหราศาสตร์ช่วยจริงๆ ก็จะเป็นภาระแก่ผู้รู้ทางนี้น้อยลง เหมือนออกกำลังกายและดูแลสุขภาพให้ดีๆ ก็ไม่ต้องไปหาหมอบ่อยๆ ยังไงยังงั้น
1. ลดละกิเลส
นักโหราศาสตร์รุ่น เก่าๆ บางท่านเคยพูดอยู่เสมอว่า "โหราศาสตร์ เป็นรองแต่เพียง พุทธศาสตร์" ท่านจะอธิบายเพิ่มเติมว่าอย่างไรก็จำไม่ได้แล้ว ขออธิบายเอาเองว่า โหราศาสตร์เป็นเรื่องการแก้ปัญหาตามประสาคนที่ยังวนเวียนอยู่กับกิเลส แต่พุทธศาสนานั้น แต่ปัญหาที่ต้นเหตุใหญ่ของความทุกข์ทั้งมวล คือแก้ที่ตัวกิเลสเลย
เคยได้ยินนักโหราศาสตร์รุ่นเก่าอีกท่านหนึ่ง กล่าวว่าการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการไถ่ถอนอำนาจของดวงดาว
ถ้าจะหาเหตุผลให้ เป็นวิทยาศาสตร์สักหน่อยแล้ว อธิบายได้ว่า การที่คนเรามีเคราะห์นั้น ก็เนื่องจากอำนาจอิทธิพลของกิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นส่วนใหญ่ การที่ใครจะมาหลอกลวงเราไม่ว่าโดยตรงโดยอ้อม ก็ล้วนแต่ใช้สิ่งที่ทางพระเรียกว่า "เหยื่อ" มายั่วให้เกิดกิเลสตัวใดตัวหนึ่งเป็นอย่างน้อย เมื่อกิเลสครอบงำก็ขาดสติ จนเกิดเหตุขึ้น ไอ้ที่จะเคราะห์ร้ายประเภทอยู่ดีๆ มีอะไรลอยมาตกใส่หัวนั้น มีอยู่ไม่กี่เปอร์เซนต์
ด้านความโชคดีก็ เช่นกัน ประเภทอยู่ดีๆ จะถูกหวยได้มรดกขึ้นมาปุบปับนั้น มีไม่กี่เปอร์เซนต์เช่นกัน และหากจะโชคดีแบบนั้นขึ้นมาแล้ว ไม่รู้จักเก็บบริหารการเงิน ก็ยากจะรักษาทรัพย์สมบัติไว้ได้ คนที่จะโชคดีอย่างแท้จริงนั้น จะต้องมีรากฐานมาจากการใช้ทั้ง "สติ" และ "ปัญญา" ประกอบกับความอุตสาหะวิริยะในลักษณะใดลักษณะหนึ่งมาอย่างต่อเนื่อง แล้วจึงจะได้งานดีๆ หรือเป็นเจ้าของกิจการ หรือจะเป็นแชมป์ได้ต้องขยันซ้อม อะไรทำนองนั้น
ย้อนกลับมาเรื่อง สมาธิอีกสักนิด เคยมีเพื่อนคนหนึ่งยกคำพูดของคนระดับครูอาจารย์ที่ฟังมาอีกทีว่า แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังมีสัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอด การที่เราเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐได้นั้น จะต้องประกอบด้วยบุญมากกว่าเป็นไหนๆ น่าจะมีญาณหรือสัญชาตญาณที่ดีกว่าสัตว์เหล่านั้น แต่กลับไม่ได้พัฒนาขึ้นมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะสิ่งยั่วยุต่างๆ ในสังคมมันมากเหลือเกิน นี่จึงเป็นเหตุที่คนเราต้องพัฒนาจิตด้วยการนั่งสมาธิ
เมื่อกิเลสน้อยลง โอกาสถูกยั่วยุก็มีน้อยลง เคราะห์ก็น้อยลงครับ
2. ปล่อยวางซะบ้าง
หลักประการต่อมาสำหรับการใช้โหราศาสตร์เท่าที่จำเป็น น่าจะเป็นเรื่องของการปล่อยวางซะบ้าง หรือคิดซะว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" ที่ทางพระเรียกว่า ตถคตา
มีอะไรหลายอย่างใน ชีวิตที่เรียกว่า มันจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ และจะเกิดขึ้นเวลาไหน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่จำเป็นต้องไปฝืนหรือไปกำหนดว่าเมื่อไหร่ถึงจะดี
ยกตัวอย่างจากคำถามที่เคยเข้าในเว็บบอร์ดของโหราศาสตร์ยุคไอที (อีกแล้ว)
รายหนึ่งเข้ามาถาม เรื่องการดูเพศบุตรในครรภ์ ไม่รู้จะถามไปทำไม จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ลูกที่ต้องเลี้ยง ถ้าตัวพ่อแม่มีอคติเรื่องเพศของบุตรจะยิ่งไปกันใหญ่
เคยมีสองสามรายเข้า มาขอฤกษ์ไปผ่าคลอดบุตร ไม่ทราบว่าคนสมัยนี้เขาเป็นยังไงกัน ถึงไม่ยอมคลอดตามธรรมชาติกันซะแล้ว รวมถึงจรรยาแพทย์ของบรรดาหมอสูติฯ ทั้งหลายว่ายังมีกันอยู่หรือเปล่า? สมัยก่อนเขามีแต่ว่าเกิดมาแล้วค่อยเอาดวงมาดูว่าลูกจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้พอผ่าคลอดได้เกิดรู้มากอยากให้ลูกเกิดเวลาที่คิดว่าดี แล้วคนให้ฤกษ์ต้องรับผิดชอบขนาดไหน เบื้องต้นก็ความปลอดภัยของแม่และเด็ก พอรอดมาได้เหมือนจะต้องรับผิดชอบชีวิตเด็กไปตลอด
ฤกษ์การออกรถนี่ รู้สึกยังไม่เคยมีใครถาม เหมือนจะเคยมีแต่มาถามเรื่องทะเบียนรถ ผมอยู่มาจนหลักสี่แล้วยังไม่มีปัญญาซื้อรถเลย ใครมีปัญญาซื้อรถได้โดยปกติก็น่าจะกำลังดวงขึ้นไม่ใช่เหรอ?
พุทธศาสนาสอนให้ยอม รับความจริงของชีวิต แต่ก็ไม่ใช่การยอมจำนน การนำโหราศาสตร์มาใช้ในบางเรื่องที่กล่าวนั้น อาจใช้เพียงเพื่อตรวจสอบยืนยันอะไรบางอย่างเช่น คอนเฟิร์มว่าจะคลอดลูกได้โดยปลอดภัยก็พอ แต่ไม่ใช่ไปกำหนดเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด โดยที่เราไม่มีสิทธิจะได้ หรือหากจะได้มาก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่างด้วย
เช่น อยากมีลูกที่ดีก็เตรียมอบรมสั่งสอนเขาให้ดีๆ อยากขับรถปลอดภัยก็ต้องเน้นไปที่การขับรถให้แข็งๆ แม่นกฎจราจร ฯลฯ แล้วข้อมูลโหราศาสร์ถึงจะมาสนับสนุนได้
สรุปว่า ให้ปล่อยวางให้อะไรมันเกิดตามธรรมชาติของมัน แต่อย่าถึงขั้นปล่อยปละละเลยครับ
3. ถามผู้รู้เฉพาะทาง
มีคำถามประเภทหนึ่ง ที่คนมักจะถามหมอดูหรือนักโหราศาสตร์กันมาก คือ เรื่องที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางอย่างอื่นเป็นหลักในการตอบ แล้วอาจจะไม่ต้องถามนักโหราศาสตร์เลย หรือใช้ข้อมูลมาเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อความมั่นใจเท่านั้น แต่ผู้ถามกลับคาดหวังคำตอบจากการดูดวงเป็นหลัก และนักโหราศาสตร์บางคนก็อยากจะล้ำเส้นเข้าไปรู้ดีมากกว่าผู้รู้ด้านนั้นซะ ด้วย
ที่เห็นชัดคือเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ทั้งหลาย
ดังเช่นที่คราวก่อน ได้บ่นเรื่องคนมาขอฤกษ์ผ่าคลอดเอาไว้ ผมยังเห็นว่าควรจะใช้ข้อมูลจากสูตินารีแพทย์เป็นอันดับแรก ตั้งแต่ประเด็นว่าจำเป็นแค่ไหนที่ต้องผ่า คลอดตามปกติได้ไหม ถ้าจะผ่าจริงๆ ต้องใช้ข้อมูลหมอเป็นอันดับแรกว่าช่วงไหนจะปลอดภัยที่สุด ถ้าช่วงเวลามันกว้างมากค่อยเอาโหราศาสตร์มาบีบให้แคบลงหรือกำหนดลงไป
หรืออย่างคำถามที่ ว่าสุขภาพดีไหม ต้องระวังโรคภัยไข้เจ็บอะไรบ้างนั้น ทางที่ดีไปตรวจสุขภาพประจำปีดีกว่า แล้วรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ระวังอาหารการกิน และอะไรอื่นๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ข้อมูลด้านสุขภาพค่อนข้างจะดาดดื่น
เรื่องกฎหมายการจะขึ้นโรงขึ้นศาล ก็ควรหาผู้รู้ทางกฎหมายเป็นอันดับแรก
เรื่องการสอบนอกจากการดูตำราแล้ว ความรู้บางอย่างก็อาจหาคนติวให้ได้
ได้ข้อมูลจากผู้รู้ เฉพาะทางเหล่านี้แล้ว จะเอาข้อมูลดวงมาเสริม หรือไม่ต้องดูดวงเลยก็แล้วแต่กรณี แต่อย่าให้กลายเป็นว่าพึ่งแต่คำทำนายของคนที่รู้แต่โหราศาสตร์ที่อาจจะอวด รู้เกินจริง จนลืมข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นๆ ถ้าบังเอิญผู้รู้เฉพาะทางเหล่านั้นเป็นโหราศาสตร์อยู่ด้วยก็ดีไปอย่าง
ข้อสรุปส่วนตัวของผม ณ เวลานี้คือ โหราศาสตร์เป็นศาสตร์หนึ่งที่ต้องทำงานร่วมกับศาสตร์อื่นๆ ไม่ควรเอาโหราศาสตร์ไปอวดรู้ใช้แทนศาสตร์อื่นโดยสิ้นเชิง แต่ในทางกลับกัน ศาสตร์อื่นๆ ก็ไม่มีศาสตร์ใดจะมาแทนโหราศาสตร์ได้ หากได้ข้อมูลจากโหราศาสตร์ไปช่วยก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
4. โชคย่อมเข้าข้างผู้กล้า
ยังไม่แน่ใจว่า "ใช้โหราศาสตร์เท่าที่จำเป็น" จะมีเพียง 4 ข้อเท่านี้หรือเปล่า แม้ว่าตอนแรกจะพยายามวางแผนกำหนดหัวข้อไว้ซะดิบดี พอเริ่มเขียนจริงเกิดไม่แน่ใจว่ามันมีหลักกี่ข้อกันแน่ที่จะลดการใช้ โหราศาสตร์ลงมาเท่าที่จำเป็น จึงต้องเขียนเท่านี้ก่อนจนกว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ใหม่
มาเข้าเรื่องตามที่จั่วหัวไว้ ซึ่งมาจาก Virgil กวีโรมันโบราณผู้เขียนมหากาพย์เอเนียด อันเป็นตำนานเกี่ยวกับกำเนิดกรุงโรม
พูดถึงความกล้าจากตำนานโรมันแล้ว อย่าพึ่งนึกไปว่าหมายความแต่เพียงความกล้าหาญชาญชัยในการทำศึกสงคราม และความกล้าเดี่ยวๆ จะไม่มีผลอะไรถ้าขาดสติปัญญา
เรื่องทั่วๆ ไปที่สามัญชนอย่างเราๆ ทั้งหลายควรทำอาจดูเหมือนไม่ต้องใช้ความกล้าอะไรมาก แต่หลายคนก็ลังเลจนต้องไปพึ่ง "หมอดู"
อย่างเรื่องการสอบทั้งหลาย ไม่ว่าการสอบของนักเรียนหรือนักศึกษา หรือการสอบเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งนั้น จะต้องถามทำไมว่าจะได้หรือไม่ สู้เอาเวลาไปอ่านหนังสือเพื่อสะสมความรู้และความมั่นใจในการเข้าไปสอบจะดี กว่า
บางเรื่องนั้น ถึงจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ แต่ถ้าไม่ทำเลยจะแย่ยิ่งกว่า เช่นถ้าท่านเป็นนักกีฬาที่ต้องสู้กับคนที่เหนือกว่ามากๆ การพ่ายแพ้ก็แค่เสมอตัว ถ้าชนะได้แม้จะฟลุ้คๆ ถือเป็นความสำเร็จ แต่การไม่ไปแข่งเลยผลงานท่านเป็นศูนย์ครับ
เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องจะต้องไปสอบ สัมภาษณ์งาน ที่จริงพี่แกก็ไม่ได้เว่อขนาดว่าถ้ารู้ว่าสอบไม่ได้แล้วจะไม่ไปสอบหรอกครับ จากที่ดูกันวันนั้นสรุปว่า ไม่ผ่านหรอก แต่ก็ต้องไปเพื่อไม่ให้เสียชื่อว่าผิดนัด
และมีอะไรอีกหลายเรื่องที่คล้ายๆ กันนี้ คือหากทำแล้วไม่สำเร็จก็ไม่ได้ถึงตายสักหน่อย ถ้าพลาดก็เป็นบทเรียนกันไป หรือบางอย่างลงมือทำเท่าที่รู้ไปก่อน แล้วทำไปเรียนรู้ไปด้วยก็ยังได้
ไม่จำเป็นต้องรอฤกษ์งามยามดีไปหมดทุกกรณี เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยอ่านความเห็นผู้รู้โหราศาสตร์ท่านหนึ่ง เขากล่าวไว้ว่า ไม่มีฤกษ์ไหนที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์
ขอเอามาขยายความต่อไปว่า เรื่องบางอย่างบางทีมันต้องเริ่มทำโดยไม่อาจรอให้ฤกษ์ดีพร้อมได้ อาจต้องทำทั้งที่เห็นว่าในดวงมันมีปัญหาอะไรอยู่บ้าง ก็เก็บไว้พิจารณาว่านั่นแหละเรื่องที่ควรระวัง
กำลังกลัวว่าจะเขียนวนไปวนมา พอดีนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่อีกคนหนึ่งสมัยเริ่มเรียนโหราศาสตร์ใหม่ๆ ได้ว่า "ดวงดีอย่าเหลิง ดวงตกอย่าท้อ" ถ้าดวงดีหน่อยก็ก้าวยาวๆ เร็วๆ ได้ ถ้าดวงตกอาจต้องเดินช้าลงหรือหยุดพักบ้าง แต่อย่าพักยาวหรือเดินถอยหลัง แล้วโชคจะเข้าข้างผู้กล้าครับ