|
 |
ปรัชญาของดาวกับการคิดเชิงบูรณาการและการเมือง  วันที่ 26/07/2009 22:02:03
ปรัชญาของดาวกับการคิดเชิงบูรณาการและการเมือง
|
บทที่ว่าด้วยธรรมชาติฝ่ายหยินและฝ่ายหยาง กับองค์รวม
ปรัชญาของมฤตยู คือ ทำไปก่อน คิดทีหลัง คือขอทำดูก่อน เกิดปัญหาอะไรก็ค่อยมาว่ากันอีกที หรือค่อยมาคิดแก้กันทีหลัง เพราะมฤตยูคิดอะไรเร็วและทำอะไรเร็ว มีความอดทนต่อการรอคอยค่อนข้างต่ำ ซ้ำยังชอบที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆจากประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกด้วย เรียกว่าชอบที่จะลองถูกลองผิดในสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากกว่า จึงไม่ฟังคำทัดทานจากใคร ถึงแม้ว่าคนที่เตือนนั้นจะเคยผ่านประสบการณ์ที่เคยผิดพลาดเช่นนั้นๆมาก่อนแล้วก็ตาม หรือบางทีก็มีเหตุมีผลที่ควรจะรับฟังไว้บ้างก็ตาม แต่มฤตยูจะไม่สน จนกว่าจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะเริ่มหันกลับมาประเมินตัวเองใหม่และเริ่มฟังคนอื่นบ้าง ซึ่งบางทีก็อาจจะสายเกินไปหรือสายเกินแก้ก็ได้ ( ดูคุ้นๆเหมือนใครบางคนในรัฐบาลนี้เลย เป็นใครลองคิดเอาเองนะ ^_^'' )
คุณลักษณะเช่นนี้ของมฤตยูนั้นโดยตัวมันเองก็ยากที่จะตัดสินชี้ขาดลงไปว่า มันถูกหรือผิด?? ควรหรือไม่ควร?? ถ้ามองเผินๆก็อาจจะดูว่าผิดหรือไม่ควร แต่นั่นเป็นการมองผ่านจากมุมมองของเสาร์ ที่คิดอะไรช้า ทำอะไรช้า และยังยึดอยู่กับวิธีการคิดแบบเดิมๆหรือระเบียบกฏเกณฑ์แบบเดิมๆที่คนส่วนใหญ่พึงยึดถือปฏิบัติกันอยู่และปฏิบัติกันมาโดยตลอด โดยอาจจะผ่านการพิสูจน์มาแล้วจากประสบการณ์จริงในชีวิตว่า มันจะปลอดภัยต่อชีวิตทรัพย์สินและสภาวะทางจิตใจของคนเรามากกว่าถ้ายังอยู่ในกรอบ ซึ่งก็ไม่ผิดอีก แต่โลกและชีวิตจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง กฏระเบียบบางอย่างจำต้องเปลี่ยนแปลง วิธีคิดและความเคยชินบางอย่างจำต้องเปลี่ยนแปลง และเมื่อถึงเวลาที่มันจะต้องเปลี่ยนแล้ว จะด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม มฤตยูจะเข้ามาทำหน้าที่นั้น แบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น คนที่จะกลัวต่อการมาของมฤตยูมากที่สุด ก็คือคนที่ยังยึดติดอยู่กับความคิดแบบเดิมๆ ความเคยชินแบบเดิมๆและพฤติกรรมแบบเดิมๆ ที่โดยมากก็มักจะเป็นความคิดและพฤติกรรมที่เป็นไปตามความเคยชินของกิเลสของเราเอง ยิ่งยึดเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็จะมีปัญหากับการมาของมฤตยูมากขึ้นเท่านั้น ( รวมถึงการมาของเนปจูนและพลูโตด้วย )
ถึงกระนั้น อิทธิพลของมฤตยูเองโดยลำพังที่ขาดปัจจัยในการยับยั้งชั่งใจหรือกฏระเบียบของเสาร์ร่วมด้วยนั้น ก็อันตรายเกินไป รุนแรงเกินไป เสี่ยงและล่อแหลมเกินไป เชื่อมั่นเกินไปหรือบางทีก็อาจเรียกได้ว่า ไร้เดียงสาเกินไปหรือเพ้อเจ้อเพ้อฝันมากเกินไป แต่นั่นก็เป็นลักษณะนิสัยของมันตามธรรมชาติ และก็เพราะลักษณะนิสัยเช่นนี้นั่นเอง ที่ทำให้เกิดแนวความคิดแปลกๆใหม่ๆในโลกขึ้น ที่ทำให้เกิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ขึ้น ที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น ที่ทำให้เกิดระบบการปกครองแบบยึดถือสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนหรือประชาธิปไตยขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังสิทธิเสรีภาพที่มากเกินขอบเขต โดยไม่ยอมรับรู้ถึงขีดข้อจำกัดในความเป็นจริงของโลกหรือของคนอื่นๆ จนกลายเป็นพวกหัวกบฏ สุดขอบ สุดโต่ง หรือเป็นพวกแอ็นตี้สังคมหรือระเบียบปฏิบัติแบบเดิมๆแบบไร้เหตุผลไปได้
สรุปแล้วทั้งเสาร์และมฤตยู รวมถึงดาวอื่นๆทุกๆดวง มันต่างก็มีหน้าที่ของมันที่จะกระทำต่อโลกต่อธรรมชาติและต่อบุคคล ในแง่มุมและรูปแบบต่างๆ ทั้งในด้านให้คุณและให้โทษ ( ตามความรู้สึกของมนุษย์ ) โดยที่ตัวมันเองก็คงจะไม่ได้เป็นสุขเป็นทุกข์อะไรกับเราด้วย มันก็สักแต่ว่าทำหน้าที่ของมันตามธรรชาติ โดยมีกลไกกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายเป็นเงื่อนไขหรือเป็นตัวกำหนดกลไกการทำงานของมันอยู่อีกชั้นนึง โดยไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง แต่เลือกที่ธรรมหรือธรรมชาติตามแต่เหตุปัจจัยที่ถูกกระทำขึ้น [ Action ] และส่งจะผลตอบสนองคืน[ Reaction ] อย่างสมเหตุสมผลและสอดคล้องกันกับเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นๆอย่างแน่นอน โดยที่ยังมีกรรมใหม่ในปัจจุบันของเราเป็นปัจจัยร่วมด้วย บวกกับมีสิ่งแวดล้อมสภาพธาตุของโลกและที่อยู่อาศัย เป็นเงื่อนไขที่สำคัญอีกอันหนึ่ง ทั้งหมดจะทำงานสอดประสานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน จนแยกออกไม่ได้ว่า ผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันอยู่นี้นั้น( ทั้งที่ดีและไม่ดี ) มันเกิดจากเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขอันไหนเป็นหลักกันแน่ กรรมเก่า กรรมใหม่ หรือ สิ่งแวดล้อม ( สภาพความสอดคล้องไม่สอดคล้อง สมดุลย์หรือไม่สมดุลย์ของสภาพธาตุของวัตถุสิ่งของที่เราใช้อุปโภคบริโภค บุคคลที่เราเกี่ยวข้องคบหา อาชีพที่เราทำ สภาพดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศที่เราอยู่ รูปแบบของสังคมและระเบียบการปกครองที่เราสังกัด ฯลฯ เป็นต้น เหล่านี้เป็นเงื่อนไขภายนอกที่จะกำหนดความเป็นไปของเราได้ในระดับหนึ่ง ที่ก็ไม่ควรจะมองข้ามเช่นกัน )
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากในการที่จะวิเคราะห์หรือยากที่จะทำความเข้าใจให้ได้อย่างถ่องแท้ จึงมักจะเกิดปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆว่า วิเคราะห์ดวงหรือตรวจดูสภาพธาตุของสิ่งแวดล้อมผูกพันธ์ ( ฮวงจุ้ย )ดูแล้ว ไม่สอดคล้องกันกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหรือที่เป็นอยู่ของบุคคล ซึ่งถ้าหลักวิชาไม่ผิดก็น่าสามารถที่จะบอกได้ว่า ที่ดูแล้วมันไม่สอดคล้องกันกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะว่า เราหรือผู้วิเคราะห์มองไม่เห็นตลอดสายหรือตลอดกระบวนการการทำงานของมัน ( หมายถึงกลไกของกรรม ) ที่จะต้องมีทั้ง กรรมเก่า กรรมใหม่ และสภาวะของสิ่งแวดล้อมของบุคคลนั้นๆทำงานสอดประสานร่วมกันด้วยเสมอ มีการแลกเปลี่ยนถ่ายเท ดึงดูด ผลักดัน ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาในลักษณะที่เป็นพลวัตร [ Dynamic ] ที่ไม่ได้หยุดนิ่งหรือถูกแช่แข็งเอาไว้เสียจนเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แท้ที่จริงแล้ว มันมีลักษณะที่ยังสามารถยืดหยุ่นตัวได้เสมอ ไม่มากก็น้อย ไม่ช่วงเวลาใดก็เวลาหนึ่ง ภายใต้เหตุปัจจัยและเงื่อนไขของแต่ละบุคคลที่จะเลือกกระทำหรือไม่กระทำบางสิ่งบางอย่าง ในสิ่งที่ถูกหรือที่ผิด ด้วยวิธีการที่ถูกหรือวิธีการที่ผิด
วิธีการคิดแบบดังที่กล่าวมานี้ เป็นการคิดแบบเชิงบูรณาการ คือ มองทุกอย่างเป็นองค์รวมที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันอยู่ ในทุกๆระดับ ทุกๆมิติ จากสสารเป็นพลังงานจากพลังงานเป็นสสาร จากรูปสู่นามจากนามสู่รูป จากกรรมสู่วิบากจากวิบากสู่กรรม ( ใหม่ ) จากภายนอกสู่ภายในจากภายในสู่ภายนอก จากความนึกคิดสู่พฤติกรรมจากพฤติกรรมสู่ความนึกคิด จากระดับหรือมิติหนึ่งสู่อีกระดับหรืออีกมิติหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกและจักรวาลนี้ที่จะดำรงตนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเอกเทศจากสิ่งอื่นๆระบบอื่นๆได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นภาคการเมือง ภาคเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน ภาคสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ภาคสังคมประเพณีวัฒนธรรมและศาสนา ฯลฯ เป็นต้น ล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงสัมพันธ์และส่งอิทธิพลหรือผลกระทบถึงกันและกันอยู่ในแง่มุมต่างๆอย่างสลับซับซ้อน ฉะนั้น การกระทำหรือไม่กระทำ การกระทำที่ถูกหรือที่ผิดของภาคหรือมิติหนึ่งๆย่อมจะต้องส่งผลกระทบกระเทือนถึงภาคหรือมิติอื่นๆด้วย ไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เช่นนี้ฉันใด การจะเข้าใจโครงสร้างดวงชะตาของบุคคลหนึ่งๆให้ได้อย่างสมบูรณ์นั้น ก็จำต้องพิจารณาให้ครบในทุกๆมิติด้วย ( กรรมเก่า กรรมใหม่ และ สภาวะแวดล้อม ) ซึ่งในบางมิติก็อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของนักพยากรณ์หรือนักโหราศาสตร์ที่จะไปกำหนดหรือทำอะไรได้ คงทำได้เพียงแต่ให้คำชี้แนะไปตามโครงสร้างกรรมเก่าที่มองเห็นเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ต้องขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆเอง ที่จะเลือกกระทำหรือไม่กระทำบางสิ่งบางอย่าง ในสิ่งที่ถูกหรือที่ผิด ด้วยวิธีการที่ถูกหรือที่ผิด ส่วนนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของนักพยากรณ์ แต่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบกันเอาเอง
ตอนหน้าเราจะมาว่ากันต่อถึงเรื่องบทบัญญัติของหมอดูและคนที่มาดูหมอ รวมถึงเรื่องของ มฤตยู เนปจูน พลูโต ดาวแห่งอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
จาก: ศุภเศรษฐ์ [27 May 2005 13:54]
|
ความคิดเห็นที่ 1 โดย คุณ ศุภเศรษฐ์
28 May 2005 23:48 #880910
|
บทที่ว่าด้วยหมอดูและคนมาดูหมอกับการแก้กรรม
ถ้าจะแบ่งบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาโหราศาสตร์แล้ว ก็น่าจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ใหญ่ๆดังนี้
1 ) พวกที่เชื่ออย่างสุดโต่ง โดยไม่ยอมพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งก็มักจะนำไปสู่การหลอกหลอนหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การหลอกตัวเอง การหลอกคนอื่น รวมถึงการถูกคนอื่นหลอกในที่สุด
2 ) พวกที่ไม่เชื่ออย่างสุดโต่ง โดยที่ก็ไม่ยอมพิจารณาไตร่ตรองอีกเช่นกัน ว่าอะไรมันเป็นอะไร แต่สรุปตัดสินคิดเอาเองอย่างง่ายๆว่าโหราศาสตร์นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เท่านั้นจบ โดยที่ตนเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดีพอในการที่จะไม่เชื่อนั้นๆ
3 ) พวกที่อยู่ตรงกลางๆระหว่างสุดโต่งทั้งสองทางนั้น พวกนี้คือบุคคลที่ทุกๆวงการล้วนต้องการ ไม่เฉพาะแต่ในวงการโหรเท่านั้น เพราะมีคุณลักษณะที่เป็นประโยชน์และเหมาะควรแก่การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ คือพร้อมที่จะยืดหยุ่นตัวเองได้ ไม่แข็งจนเกินไปและไม่เหลวจนเกินไป พวกนี้จะเลือกที่จะเชื่อแต่ในสิ่งที่มีเหตุมีผลและเป็นประโยชน์จริงๆเท่านั้น
บุคคลจำพวกแรกมักจะมาหาหมอดูด้วยสาเหตุที่ต้องการหาที่พึ่งพิงทางอารมณ์เป็นสำคัญ และต้องการที่จะได้ยินได้ฟังแต่คำทำนายที่ดีๆที่ฟังระรื่นหูหรือที่ตนเองอยากจะฟังเท่านั้น โดยที่จะไม่ยอมรับรู้อะไรอื่นอีก เขาชอบที่จะฟังแค่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้างและสิ่งที่เขาจะต้องทำแบบเบ็ดเสร็จสำเร็จรูป ( โดยยกเว้นในส่วนที่จะต้องปรับปรุงนิสัยพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเองเอาไว้ ที่เหลืออย่างอื่นทำได้หมด ) พวกแรกนี้คือพวกที่ชอบฟังการทำนายแบบฟันธงมากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้หลุดพ้นจากความรับผิดชอบอันจะเกิดจากการตัดสินใจโดยการกระทำของเขาเอง และจะดึงดูดกันกับหมอดูประเภทเดียวกัน
บุคคลพวกที่สอง เป็นพวกที่จะมาหาหมอดูเพราะไม่มีอะไรจะทำ หรือไม่ก็เป็นพวกชอบลองของลองภูมิอะไรไปเรื่อยแบบไม่ได้หวังผลอะไรจริงจัง พวกนี้เวลาตัวเองได้ดีมีสุขอยู่หรือยังไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรก็มักจะแสดงตัวว่าตนไม่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์ และมักจะแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามนักโหราศาสตร์หรือหมอดู แต่เวลาที่ตัวเองต้องประสบกับเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจแล้วหาทางออกทางไปไม่ได้หรือหาที่พึ่งไม่ได้ ก็จะวิ่งโร่เข้าหาพระหรือเข้าหาหมอดูให้ช่วยปัดเป่าทำพิธีอะไรต่างๆให้ พอเสร็จเรื่องแล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
บุคคลที่ไม่เข้าข่ายดังกล่าวมาข้างต้น จัดเป็นบุคคลคุณภาพพวกที่สาม ภาษาธุรกิจเรียกว่าเป็นลูกค้าชั้นดี ที่ใครๆก็ต้องการ และเป็นบุคคลที่จะเป็นความหวังให้แก่วงการโหรไทยได้ ( รวมถึงวงการอื่นๆด้วย )พวกสุดท้ายนี้จะเข้าหาวิชาโหราศาสตร์ในแง่ที่ต้องการจะค้นหาสัจจะความจริงในชีวิต ทั้งของตนเองและคนอื่นๆ รวมถึงของโลกและธรรมชาติ ผ่านความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยใจที่เป็นกลาง และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนปรับปรุงตัวเองได้มากกว่าสองพวกแรก
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คำพยากรณ์ที่จะมีคุณค่ามากที่สุด ก็คือคำพยากรณ์ที่จะช่วยเตือนสติเราให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งจุดอ่อนของเรา ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องที่ยังต้องปรับปรุงแก้ไขและพรสวรรค์หรือศักยภาพที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเรา รวมถึงขีดข้อจำกัดต่างๆในชีวิตของเรา ไม่ใช่แนะนำให้เราหลอกตัวเองไปวันๆนึง โดยการพยายามจะกลบเกลื่อนไม่ยอมรับรู้ถึงขีดข้อจำกัดบางประการของตนเอง ( ตามเงื่อนไขของกรรมเก่าที่ตัวเองทำเอาไว้เอง ) ไม่ยอมรับรู้ถึงจุดอ่อน ข้อบกพร่องของตนเอง ที่มันเป็นสาเหตุของโรคหรือรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริงในชีวิตของคน ถ้าเราเป็นแผลเรื้อรังอยู่แล้วอยากจะหาย แต่ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องแผลอันนั้นเพราะเรากลัวที่จะต้องเจ็บปวดกับการรักษา แล้วเมื่อไหร่หล่ะที่แผลนั้นมันจะหายขาดได้ มันก็ต้องหมักหมมเรื้อรังอยู่อย่างนั้นต่อไป และรอวันที่จะกำเริบขึ้นมาใหม่ได้อีกอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีเหตุปัจจัยเงื่อนไขพร้อมที่จะทำให้มันกำเริบอีก ชีวิตมันก็ต้องมีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราจะเอากันแต่ได้เสียไม่เอา จะเอากันแต่สุขทุกข์ไม่เอา มันก็ดูจะเห็นแก่ตัวและฝืนธรรมชาติกันมากเกินไป
ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราทุกคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขนิสัย พฤติกรรม เจตจำนง และโชคชะตาของตนเองได้เสมอ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตนั้น มันมีคุณค่าควรแก่การดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชดใช้กรรมเก่าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสร้างกุศลกรรมใหม่ที่ดีและยิ่งใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย เพียงแต่เรามักจะไม่ยอมนำศักยภาพและสติปัญญาที่เรามีอยู่นั้นออกมาใช้ แต่มักจะเลือกใช้วิธีดำเนินและแก้ปัญหาในแบบที่เป็นไปตามความเคยชินแบบเดิมๆของเราหรือในแบบที่ตามใจกิเลสของเรามากกว่า ปัญหามันอยู่ตรงนี้เอง และนี่แหละคือการแก้กรรมที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ก่อนจะจบ ขอทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกี่ยวกับเรื่องคุณค่าที่แท้จริงในชีวิต มีใจความดังนี้
สิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงของความดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์อย่างสันติถาวรและประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่นั้น สำหรับตัวของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องมาตรการของชุมชนหรือระเบียบปกครองในระดับรัฐหรือประเทศชาติ หากเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่จะต้องมีวิสัยทัศน์อันถูกต้อง มีจินตนาการที่สร้างสรรค์และสอดคล้องกับธรรมชาติ ปัจเจกบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะที่จะเอื้อให้เกิดความดีงามและความบริสุทธิ์ขึ้นในสังคม
|
|
โหรา-กระทู้เก่า
|