ผมเห็นว่า ความเห็นของคุณชาญชัยในกระทู้เก่าอันหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับคำว่า "ระบบเรือนชะตา" น่าจะเป็นคำตอบของกระทู้นี้ด้วย ดังนี้
----------
เพื่อให้มีหลักฐานทางวิชาการสำหรับใช้อ้างอิงในการพิจารณาหัวข้อตามกระทู้นี้ ผมขอนำเนื้อหาบทเรียนหลักสูตรพื้นฐานของโรงเรียนโหราศาสตร์กรุงเทพ โดยท่านอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ มาลงไว้ในความคิดเห็นนี้ พร้อมทั้งความเห็นของผมในตอนท้าย ซึ่งเป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการโดยบริสุทธิ์ใจ ซึ่งหากการแสดงความเห็นทางวิชาการดังกล่าวไปมีผลกระทบต่อท่านผู้ใดก็ตาม ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลักสูตรพื้นฐานของท่านอาจารย์ใช้เวลาในการศึกษา 6 เดือน เรียนเฉพาะในวันเสาร์เท่านั้น โดยเรียนครั้งละ 3 ชั่วโมง เนื้อหาเป็นดังนี้ครับ
“เพื่อนักศึกษาจะได้ใช้เป็นรายการสอบทานว่า หลักวิชาที่ท่านศึกษาไปจากหลักสูตรนี้ มีอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การฟื้นฟูในภายหลังเมื่อจบจากหลักสูตรนี้ไปแล้ว (ซึ่งทางโรงเรียนยืนยันว่าพอแล้ว) ใคร่ขอสรุปรายการที่นักศึกษาได้ศึกษามาแล้ว ซึ่งกินเวลา 6 เดือน ดังต่อไปนี้
1. ภาคดาราศาสตร์
- ทรงกลมฟ้า
- จักราศี
- ดาวพระเคราะห์
- ปัจจัยทางดาราศาสตร์อื่นๆ (ดาวฤกษ์ ราหู ฯลฯ)
- เอกสารบรรจุข้อมูลทางดาราศาสตร์ต่างๆ
 ปฏิทินโหราศาสตร์
 ตารางเรือนชะตา
 อื่นๆ
- การใช้ปฏิทินโหราศาสตร์
- การคำนวณดวงชะตา
 การคำนวณตำแหน่งดาวพระเคราะห์
 การคำนวณเมอริเดียนและลัคนา
 การคำนวณพิเศษอื่นๆ
2. ภาคโหราศาสตร์
- ปรัชญามูลฐานต่างๆของวิชาโหราศาสตร์
- การอุปมาอุปมัย
- การอนุมาน
- หลัก “เหตุ – ผล”
- อิทธิพลของจักราศี
- อิทธิพลของดาวพระเคราะห์
- อิทธิพลผสม
- จุดเจ้าชะตา
- จุดอิทธิพล
- ศูนย์รังสี
- พระเคราะห์สนธิ (โครงสร้างของกลุ่มดาว)
 ตำแหน่งสัมพันธ์
 แกนดาว
 อิทธิพลของพระเคราะห์สนธิ
- คัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ
- ทฤษฎีเรือนชะตา
 การตั้งเรือนชะตา
 อิทธิพลของแม่เรือน
- คัมภีร์เรือนชะตา
- การอ่านดวงชะตา
- เทคนิคการจร
 การจรตามอายุขัย
 การจรตามดาวพระเคราะห์ปัจจุบัน
- การใช้ดวงชะตาพิเศษต่างๆ
 ดวงสงกรานต์
 ดวงวันอมาวสี/ปูรณมี
 ดวงชะตาประจำวัน
3. ภาคประยุกต์
- การพยากรณ์พื้นดวงชะตา
- การพยากรณ์จร
- การหาเวลาเกิด และ การปรับดวงชะตา
- ปกิณกะต่างๆ”
หมายเหตุ ตรงหัวข้อย่อยทฤษฎีเรือนชะตานั้น ท่านอาจารย์นำทฤษฎีเรือนชะตามาสรุปให้นักศึกษาทราบ โดยขอบเขตของเนื้อหานั้นท่านกล่าวว่าเพื่อให้เพียงพอสำหรับการนำไปใช้ประกอบในการพยากรณ์ร่วมกับทฤษฎีพระเคราะห์สนธิ และเพื่อเป็นพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการที่จะศึกษาพัฒนาความรู้ด้วยตนเองต่อไป ซึ่งท่านอาจารย์ยืนยันว่าความรู้ทั้งหมดนี้เพียงพอสำหรับการที่แต่ละคนจะไปศึกษาค้นคว้าพัฒนาด้วยตนเองต่อไปได้แล้ว ทฤษฎีเรือนชะตาที่ท่านนำมาสอนสำหรับการใช้งานคือทฤษฎีเรือนชะตาของโบราณ (ความเหมายของเรือน, เจ้าเรือน, , ฯลฯ) โดยเน้นที่เรือนโยคจตุรเกณฑ์ทั้ง 4 (เรือนที่ 1-4-7-10) ส่วนทฤษฎีเรือนชะตาของฮัมบูกนั้นท่านเพียงกล่าวแนะนำสั้นๆเท่านั้น โดยให้นักศึกษาตั้งเรือนชะตาให้เป็น รู้จักความหมายของแม่เรือน ส่วนการนำมาใช้ก็คือนำเรือนชะตาเมอริเดียน มาใช้ (หมายถึงในการนำทฤษฎีเรือนชะตาของโบราณมาใช้ประกอบกับทฤษฎีพระเคราะห์สนธินั้น ให้ตั้งเรือนชะตาเมอริเดียน) ด้วยทฤษฎีเรือนชะตาโบราณโดยเน้นที่เรือน 1-4-7-10 ส่วนหัวข้อย่อยคัมภีร์เรือนชะตานั้นหมายถึงคัมภีร์สูตรเรือนชะตาทั่วไป (หน้าที่ 80-113 ในคัมภีร์สูตรพระเคราะห์สนธิ) หลักสูตรทฤษฎีเรือนชะตาของฮัมบูกร์นั้นท่านบอกว่าต้องใช้เวลาเรียนนานมาก (จำไม่ได้ คิดว่าอาจเป็น ห้าหรือหกปี) จึงจะเข้าใจถึงขนาดที่ว่าจะนำมาใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว และในการเรียนจะยากกว่าทฤษฎีพระเคราะห์สนธิมาก เพราะเป็นเรื่องของปรัชญาเป็นส่วนใหญ่ คนส่วนมากจะใช้ทฤษฎีพราะเคราะห์สนธิเป็นหลักประกอบกับทฤษฎีเรือนชะตาของโบราณ หรือไม่ก็ใช้ทฤษฎีพระเคราะห์สนธิล้วนๆโดยไม่ใช้ทฤษฎีเรือนชะตาเลย ทั้งนี้ท่านสรุปว่าสำหรับคนที่มีความสามารถเพียงพอแล้ว จะใช้เพียงทฤษฎีพระเคราะห์สนธิอย่างเดียว หรือใช้ทฤษฎีเรือนชะตา (ของฮัมบูกร์) อย่างเดียว ก็พยากรณ์ได้แม่นยำเหมือนกัน แต่การใช้ร่วมกันนั้นอาจทำให้การพยากรณ์ทำได้ง่ายขึ้นเพราะโครงสร้างบางอย่างอาจอ่านได้ง่ายกว่าดวยทฤษฎีเรือนชะตา ในขณะที่บางโครงสร้างก็วิเคราะห์ง่ายกว่าด้วยโครงสร้างพระเคราะห์สนธิ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราควรเข้าใจความจริงพื้นฐานอย่างหนึ่งว่า สำหรับนักโหราศาสตร์เยอรมันแล้วก่อนที่จะศึกษาทฤษฎีเรือนชะตานั้น เขาจะต้องเชี่ยวชาญทฤษฎีพระเคราะห์สนธิก่อน ด้งนั้นคนเยอรมันที่บอกว่าใช้ทฤษฎีเรือนชะตา (ของฮัมบูร์ก) โดยไม่ได้ใช้ทฤษฏีพระเคราะห์สนธิด้วยนั้นย่อมพูดไม่ถูก เพราะในการใช้ทฤษฎีเรือนชะตาจะต้องมีการพิจารณาความแรงของปัจจัยในดวงชะตาด้วย และการพิจารณาความแรงของปัจจัยดังกล่าว แน่นอนเครื่องมือหลักชิ้นหนึ่งก็คือดูโครงสร้างพราะเคราะห์สนธิของปัจจัยนั้นว่า “แรง” เพียงใด ดังนั้นคนเยอรมันที่บอกว่าตัวเองใช้ทฤษฎีเรือนชะตา (ของฮัมบูกร์) ล้วนๆนั้น ความจริงเขาใช้ทฤษฎีพระเคราะห์สนธิด้วย (โดยที่เขาไม่รู้ตัว) เพราะทฤษฎีพระเคราะห์สนธินั้นซึมซับอยู่ในจิตวิญญาณของเขาอยู่แล้ว
สรุป ความเห็นของผม
1. หลักสูตรพื้นฐานโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนที่ท่านอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ ได้มอบให้กับพวกเราไว้นั้น มีส่วนของการสอนทฤษฎีเรือนชะตาไว้ด้วยส่วนหนึ่งนอกเหนือจากเนื้อหาส่วนใหญ่ในภาคพยากรณ์ที่เป็นทฤษฎีพระเคราะห์สนธิ และท่านสอน (เป็นทางเลือกหนึ่ง) ให้นำมาใช้ร่วมกับทฤษฎีพระเคราะห์สนธิด้วยในการพยากรณ์ ซึ่งเนื้อหาหลักเป็นการนำทฤษฎีเรือนชะตาของโบราณไม่ใช่ทฤษฎีเรือนชะตาของฮัมบูร์กมาใช้ โดยเรือนชะตาที่นำมาพิจารณาคือเรือนชะตาเมอริเดียน
2. ท่านกล่าวในชั้นเรียนเสมอว่าในเยอรมันเองนั้น ถึงจะมีจาน 90 องศา หรือจาน 45 องศา หรือจานอะไรที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่ก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องใช้จานมาตรฐาน 360 องศาอยู่ด้วยเสมอ ทั้งนี้เพราะจานมาตรฐาน 360 องศา นอกจากจะใช้วิเคราะห์โครงสร้างพระเคราะห์สนธิแล้วยังสามารถใช้วิเคราะห์โครงสร้างเรือนชะตาไปได้ด้วยพร้อมๆกัน จะช่วยให้เราไม่ลืมเรื่องสำคัญๆที่บ่อยครั้งจะแสดงให้เห็นได้ชัดเจนด้วยทฤษฎีเรือนชะตาของโบราณ และยังเป็นการชดเชยและยืนยันกันระหว่างทฤษฎีพระเคราะห์สนธิและทฤษฎีเรือนชะตา (ของโบราณ)อีกด้วย ซึ่งแน่นอนในกรณีที่มีความรู้ทฤษฎีเรือนชะตาของฮัมบูร์กด้วยย่อมจะยิ่งช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งๆขึ้นไปอีก
3. ผมคิดว่าเนื้อหาตามหลักสูตรพื้นฐานดังกล่าวไม่ได้มากเกินไปแต่อย่างใด หากศิษย์รุ่นหลังคิดจะพัฒนาอะไรขึ้นมาใหม่ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ก็เพิ่มเติมเข้ามาในหลักสูตรแต่ไม่ควรตัดเนื้อหาในหลักสูตรมาตรฐานนี้ออกไปครับ
4. เรื่องชื่อนี่ผมว่าก็ใช้อย่างเดิมๆไปแล้วกันคือสอนวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน เหมือนอย่างที่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านใช้มาในอดีต ส่วนใครจะเพิ่มว่าระบบจานสองชั้นก็ไม่ผิดเพราะเป็นการบอกว่าเขาใช้เครื่องมือในการวัดมุมดาวเป็นจานสองชั้นนะ หรือจะสามสี่ชั้นห้าชั้นก็ว่ากันไป ไม่เป็นไร เพราะจานทุกชนิดก็ใช้วัดมุมดาวดูรูปภาพโครงสร้างพระเคราะห์สนธิเหมือนกันละครับ ใครถนัดอย่างไหน ชอบอย่างไหนก็ใช้กันไป เพียงแต่ว่ารูปแบบของจานมาตรฐาน 360 องศา คงจะต้องรักษาไว้ จะเป็นจานมาตรฐานแบบเดิมหรือแฝงอยู่ในรูปแบบของจานสองชั้นสามชั้นก็ได้ เพื่อให้สามารถสอนเนื้อหาในส่วนของทฤษฎีเรือนชะตาตามหลักสูตรมาตรฐานได้ ที่สำคัญคือขอให้สอนเนื้อหาอย่างน้อยครบถ้วนตามที่ปรมาจารย์ท่านช่วยวางพื้นฐานไว้ให้เถอะครับ เรื่องค่าสอนก็ตกลงกันไปเป็นเรื่องของความสมัครใจ ส่วนเรื่องที่ไปกล่าวว่าคนนั้น คนนี้ (โดยที่เจ้าตัวเขาเองไม่ได้บอกอย่างนั้น) สอนโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน “ระบบเรือนชะตา” นี่ ถ้าเขาสอนด้วยทฤษฎีเรือนชะตาของเยอรมันจริงๆ โดยเป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ในหลักสูตรการสอนก็ควรจะเรียกเขาว่าสอนโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน “ระบบเรือนชะตา” ได้ เพราะถ้าไปเรียกหลักสูตรโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนส่วนใหญ่ที่สอนตามแนวทางของท่านปรมาจารย์กันอยู่ในทุกวันนี้ว่าเป็น “ระบบเรือนชะตา” ก็จะต้องเรียกหลักสูตรมาตรฐานที่ท่านอาจารย์ใช้ในการสอนมาตลอดตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต (ตามที่ผมได้นำมาลงไว้ข้างต้น) ว่า “ระบบเรือนชะตา” ด้วย ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งตามหลักวิชาการ, ไม่ถูกต้องตามจารีต ธรรมเนียมปฏิบัติในวงการโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนของไทยเราที่ถือปฏิบัติกันมา, และน่าจะถือว่าเป็นการลบหลู่ (แต่ผมเชื่อว่าท่านผู้กระทำการดังกล่าวไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ท่านปรมาจารย์เลย) ท่านปรมาจารย์ผู้มีพระคุณด้วย (ท่านเรียกของท่านมาตลอดชีวิตว่าหลักสูตรเนื้อหาแบบนี้คือหลักสูตรโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนมาตรฐานที่ท่านใช้สอน เมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้วกลายเป็นว่ามีคนมาเปลี่ยนเรียกหลักสูตรของท่านว่าเป็น หลักสูตรโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน “ระบบเรือนชะตา” !!!!!)
5. ความคิดเห็นที่ 30 ที่ว่า “ทางแก้ไขก็พอมีที่ต้องรวมตัวกันในการร่างหลักสูตรขึ้นมาและใครถนัดเรื่องอะไรก็ให้สอนเรื่องนั้น ปัญหาก็คือจะรวมกันได้หรือเปล่าเท่านั้น” ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องร่างหลักสูตรใหม่ครับ ใช้หลักสูตรมาตรฐานเดิมของท่านอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์นี่แหละเป็นเครื่องชี้วัดว่าหลักสูตรของอาจารย์แต่ละท่านได้มาตรฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่ ส่วนที่ว่าใครถนัดเรื่องอะไรก็ให้สอนเรื่องนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะคนที่เรียนจบหลักสูตรมาตรฐานดังกล่าวมาแล้วไม่ว่าจะจากท่านอาจารย์ประยูรฯ หรือท่านอาจารย์จรัญ หรือเป็นศิษย์ทางตรงในลำดับต่อๆมาย่อมต้องสอนได้อยู่แล้วครับ เพราะถ้าสอนไม่ได้ก็ควรไปทบทวนศึกษาค้นคว้าให้พร้อมก่อนค่อยมาทำหน้าที่อาจารย์สอนศิษย์ในชั้นต่อไป เพราะนี่เป็นเพียงหลักสูตรมาตรฐานในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในการศึกษาขั้นสูงต่อไปที่มีการเจาะลึกลงรายละเอียดเป็นเรื่องๆอาจมีความจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อแบ่งการสอนตามความถนัด
|