เมื่อนักโหราศาสตร์ผูกดวงกำเนิดของใครสักคนหนึ่งขึ้นมาแล้วพยากรณ์พื้นดวงกันไปพอสมควรแล้ว คำถามยอดฮิตที่จะต้องเผชิญกันก็คือ “ปีนี้เป็นยังไง” “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่” วิธีที่เรามักทำกันเสมอๆ คือ ดูว่าดาวจรท้องฟ้าขณะนั้น (Transit) เป็นอย่างไร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับดาวในดวงกำเนิด ปัญหาคือการจะไล่กราดไปทีละวันๆ ว่าเมื่อไหร่จะมีดาวจรอะไรทำมุมอะไรกับดวงกำเนิดเป็นเรื่องที่กินเวลามาก และยังฉาบฉวยไป ไม่ว่าในยุคโบราณที่ปฏิทินสมผุสรายวันหาได้ยากยิ่ง หรือในยุคไอทีที่อาจใช้ให้โปรแกรมเก่งๆ คำนวณกราดในให้เราได้ในพริบตา ก็ใช่ว่าวันเวลาที่ดาวจรกระทบดาวกำเนิดตามที่เราคำนวณได้จะเกิดอะไรขึ้นตามนั้นเสมอไป
ในสมัยที่ผู้เขียนเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ใหม่ๆ เคยสังเกตว่าการดูแต่เพียงดาวจรท้องฟ้ากระทบดาวกำเนิดนั้น แม้จะเกิดเหตุการณ์ตามความหมายดาวที่เราผสมได้ แต่มักเป็นอะไรที่หนักหรือเบากว่าที่คาดการณ์ไว้
วิชาโหราศาสตร์ได้กำหนดว่าจะต้องมีดวงพิเศษอีกประเภทหนึ่งที่จะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของเราในแต่ละช่วงอายุ หรือเป็นตัวกลางระหว่างดวงกำเนิดของเรากับดวงจรท้องฟ้าตามเวลาจริง ภาษาไทยเรียกว่า “ดวงจรอายุขัย”
ดวงจรอายุขัยประเภทหนึ่งที่โหราศาสตร์สากลใช้กันมานานเรียกว่า Progression คือการสมมติให้ 1 หน่วยเวลาหรือ 1 วงรอบเล็กแทน 1 หน่วยเวลาหรือ 1 วงรอบที่ใหญ่กว่า Progression ที่ปรากฏในHelp ของโปรแกรม Solarfire ได้แก่
- Secondary - a day for a year = 1 วัน (โลกหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ) แทน 1 ปี (โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ)
- Mean tertiary - a day for a mean lunar month = 1 วันแทน 1 เดือน (คิดตามการโคจรของจันทร์โดยเฉลี่ย 1 รอบ)
- True tertiary - a day for each true lunar month = 1 วันแทน1 เดือน (คิดตามการโคจรของจันทร์ที่เป็นจริง 1 รอบ)
- Minor - a mean lunar month for a year = 1 รอบเดือนตามการโคจรของจันทร์โดยเฉลี่ยแทน 1 ปี
ที่มาที่ไปและรายละเอียดของทฤษฎี Progression แต่ละแบบเกินกว่าความรู้ของผู้เขียนจะอธิบายได้หมด เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ ขอพูดถึงเฉพาะ Secondary Progress ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมาก และเป็นที่มาของดวงจรอายุขัยอีกประเภทที่จะกล่าวถึงข้างหน้า
สมมติว่านายก เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2530 เวลา 12.00 น.เกิดที่ไหนก็ช่าง เมื่อนายกอายุเต็ม 1 ขวบก็จะผูกดวงวันที่ 2 มกราคม 2530 เวลา 12.00 น.เป็นดวงจรอายุขัย เมื่ออายุเต็ม 20 ปี ก็ผูกดวงวันที่ 21 มกราคม 2530 เวลา 12.00 น.เป็นดวงจรอายุขัย เมื่ออายุเต็ม 35 ปี ก็ผูกดวงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2530 เวลา 12.00 น.เป็นดวงจรอายุขัย ถ้าอายุยังไม่เต็มปี ก็เทียบอัตราส่วนกันไป เช่น อายุ 20 ปี 6 เดือน ก็ผูกดวงวันที่ 22 มกราคม 2530 เวลา 00.00 น.ดังนี้เป็นต้น
ปัญหาของดวง Secondary Progress คือ ดาวในดวงชะตายิ่งเป็นดาวที่ห่างจากดวงอาทิตย์เท่าไหร่ ยิ่งโคจรรายวันช้ามาก แทบจะย่ำอยู่กับที่ก็ว่าได้
จึงได้มีการใช้ดวงจรอายุขัยอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า Direction เป็นการสมมติให้ดาวทุกดวงในดวงกำเนิด โคจรไปในอัตราเท่าๆ กัน โดยเอาระยะการโคจรของดาวดวงใดดวงหนึ่งในดวงแบบ Secondary Progress เป็นหลัก บวกเข้ากับปัจจัยอื่นๆ ทุกปัจจัย
ขออนุญาตอ้างอิง Help ของโปรแกรม Solarfire อีกครั้ง ดังนี้
- Solar Arc - the longitudinal distance moved by the secondary progressed sun ใช้ระยะการโคจรของดวงอาทิตย์ในดวง Secondary Progress เป็นตัวบวกของทุกๆ ปัจจัย
- Ascendant Arc - the longitudinal distance moved by the secondary progressed ascendant ใช้ระยะการโคจรของลัคนาเป็นตัวบวก
- Vertex Arc - the longitudinal distance moved by the secondary progressed vertex. ใช้ระยะการโคจรของ Vertex เป็นตัวบวก
ในโหราศาสตร์ยูเรเนียนจะนิยมใช้ Solar Arc ในการพยากรณ์จรอายุขัย โดยอาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์ ได้บัญญัติศัพท์ภาษาไทยไว้สวยหรูว่า “โค้งสุริยยาตร์” นัยว่าเป็นไปตามคำแนะนำของลูกศิษย์ท่านหนึ่งที่ต้องการให้คล้องจองกับชื่อคัมภีร์โหราศาสตร์ภาคคำนวณของไทยที่นักโหราศาตร์ไทยส่วนใหญ่ยังนิยมใช้อยู่
เหตุที่ใช้โค้งนี้แทนโค้งอื่นๆ ก็เพื่ออนุมานว่าดาวทุกดวงหรือทุกปัจจัยเคลื่อนที่ไปพร้อมกันตามการหมุนรอบตัวเองของโลก วันละประมาณ 58 ลิปดา ถึง 1 องศาเศษๆ ตามแต่ฤดูกาล บางทีก็คิดหยาบๆ ว่าปีละหนึ่งองศา
ในการใช้งานจริงจะไม่มีการลงทุนคำนวณหาสมผุสของดาวบวกโค้งและปัจจัยบวกโค้งทั้งหมด แต่จะหยิบมาใช้เฉพาะปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราอยากทราบ ดูว่าจุดนั้นๆ โคจรไปพบจุดใดในดวงกำเนิด ก็แปลความหมายไปตามดาวหรือจุดที่พบนั้นๆ ถ้าขยันหน่อยก็ดูจุดเจ้าชะตาทั้ง 6 บวกโค้ง (ถ้ารวมปัจจัยสะท้อนก็เป็น 11ไม่นับจุดเมษที่ไม่มีจุดสะท้อน) ไปกระทบอะไร ถ้ารีบนิดก็ดูแค่พฤหัสบวกโค้งและเสาร์บวกโค้ง ถ้ารีบมากหรืออยากดูแต่จุดเฉพาะเรื่องจริงๆ ก็เอาแต่ดาวหรือจุดที่เกี่ยวกับเรื่องที่อยากทราบ เช่น จุดขายที่บวกโค้ง จุดโหราศาสตร์บวกโค้ง ฯลฯ มาใช้พยากรณ์
และนอกจากการ “บวกโค้ง” แล้วยังมีการ “ลบโค้ง” อีกด้วย ซึ่งในสมัยผมเรียนกับอาจารย์พลตรีประยูร ฯ บ่อยครั้งที่ใช้คำว่า “V1” กับ “V2” คือนอกจากจะดูว่าปัจจัยใดเดินหน้าโดยบวกโค้ง หรือ V1 จรไปถึงอะไรแล้ว ยังดูว่าปัจจัยนั้นได้ถอยหลังโดยลบโค้งหรือ V2 ไปเจออะไร ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการดูว่าปัจจัยอะไรเดินหน้าไปกระทบปัจจัยหลักที่เรากำหนด เช่น การดูเมอริเดียนลบโค้งไปกระทบปัจจัยอื่น ก็คือการดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่เดินหน้ามากระทบเมอริเดียนนั่นเอง
แล้วโค้งสุริยยาตร์ก็มีปัญหาอีกเช่นกัน เนื่องจากความนิยมของยูเรเนียนในการใช้มุมเท่าของ 45 องศาเป็นหลัก ดวงชะตาใดก็ตามที่โค้งสุริยยาตร์มีค่า 45 องศา (อายุประมาณ 44-46 แล้วแต่เดือนเกิด) ดาวจรและปัจจัยจรทั้งหลายที่บวกโค้งสุริยยาตร์จะทำมุม 45 กับตัวมันเองในดวงกำเนิด เช่น อาทิตย์จรบวกโค้งทำมุมกับอาทิตย์กำเนิด เป็นเช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ในด้านหนึ่งจึงมีการอธิบายว่าวัยที่มีค่าโค้งสุริยยาตร์ 45 องศา เป็นวัยที่จะรู้ดีรู้ชั่ว หรือพิสูจน์ว่าดวงนั้นๆ ดีร้ายอย่างไร ในอีกด้านหนึ่งก็ให้แสดงความรอบคอบด้วยการตรวจสอบเปรียบเทียบกับดวงจรอื่นๆ อย่าง Secondary Progress และดวงทินวรรษ (Solar Return) ให้ชัดว่าจะเป็นอย่างไรแน่ ผู้เขียนเคยได้ยินกระทั่งว่ามีการใช้การจรแบบ “จันทรยาตร์” เข้ามาเสริมด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าอย่างไรดูเหมือนนักยูเรเนียนส่วนใหญ่ก็ยังนิยมใช้โค้งสุริยยาตร์กันเป็นปกติ สำหรับผู้เขียนแล้ว วิชาโหราศาสตร์ก็เหมือนกับอีกหลายศาสตร์ที่ไม่มีใคร “เรียนจบ” อย่างแท้จริง
หนังสือที่เกี่ยวข้อง จาก ร้านค้าออนไลน์