(Law of the Closed Circuit Transiting Prediction)
1. บทนำ
สิ่งที่อาจารย์พลตรีประยูร พลอารีย์เน้นที่สุดในการพยากรณ์ดาวพระเคราะห์จรบนท้องฟ้าไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ด้วยจังหวะที่สำคัญใดบนท้องฟ้า คือการครบวงจรระหว่างปัจจัยจรบนท้องฟ้าและปัจจัยกำเนิดในพื้นดวงชะตา ซึ่งให้ผลการพยากรณ์แม่นยำเฉียบขาด
ก่อนจะกล่าวต่อไปในรายละเอียดของเรื่องการครบวงจร ผู้เขียนขอชี้แจงทบทวนในเบื้องต้นก่อนสำหรับนักโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยนที่มีความชำนาญแล้ว และเป็นการบอกกล่าวสำหรับผู้ที่เริ่มต้นศึกษา ในหัวข้อเรื่องสำคัญๆต่างๆโดยย่อที่จำเป็นจะต้องรู้สำหรับการพยากรณ์จร โดยจะกล่าวเรียงตามลำดับกันไปในหัวข้อต่อๆไป
2. กฎการพยากรณ์ตามขั้นตอน
กฎข้อนี้เป็นกฎพื้นฐานในวิชาโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นตะวันตก หรือตะวันออก กล่าวคือในการพยากรณ์จะต้องพยากรณ์ตามขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์พื้นดวงชะตากำเนิด เพื่อตรวจดูว่ามีโครงสร้างดีร้ายอะไรอยู่ในดวงชะตาบ้าง จากนั้นจึงใช้การพยากรณ์โดยปรัชญา (Direction) เพื่อตรวจสอบดูว่าโครงสร้างใดในดวงชะตากำเนิดกำลังทำงาน แล้วจึงค่อยกำหนดเวลาเกิดเหตุการณ์โดยใช้ดาวพระเคราะห์สำหรับช่วงเวลาต่างๆ ( จะเกิดในปีนี้ เดือนนี้ วันนี้ ชั่วโมงนี้ ฯลฯ) ต่อไป โดยมีขั้นตอนสรุปได้ดังนี้
ก. พิจารณาพื้นดวงชะตา
เป็นลำดับขั้นสำคัญที่สุดเพื่อให้ทราบว่าพื้นฐานชีวิตเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง จุดเด่นจุดด้อยอยู่ที่ใด ควรจะทำให้ดีได้ในเรื่องใด และควรจะให้ความระมัดระวังในเรื่องใดเป็นต้น โครงสร้างดีหรือร้ายเหล่านี้นอกจากจะบอกพื้นฐานของเจ้าชะตาในทุกๆเรื่องโดยแสดงออกตลอดชีวิตในรูปของนิสัย สันดาน อุปนิสัยใจคอ ระดับของความทุกข์ความสุข และความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตแล้ว โครงสร้างเหล่านี้ยังเป็นสิ่งบอกเรื่องราวต่างๆทั้งหลายที่จะทะยอยกันเกิดขึ้นในชิวิตของเจ้าชะตาอีกด้วย เรื่องราวต่างๆทีจะเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าชะตานั้นจะบอกเอาไว้ทั้งหมดแล้วในโครงสร้างพระเคราะห์สนธิในดวงชะตา การพยากรณ์จรโดยเนื้อหาที่แท้จริงแล้วก็เพียงเพื่อจะบอกว่าเมื่อใดโครงสร้างใดจะทำงาน เปรียบเหมือนกับระเบิดเวลาลูกต่างๆที่จะทะยอยระเบิดเหตการณ์ร้ายดีต่างๆให้เกิดขึ้นในชีวิตของเจ้าชะตา
หมายเหตุ: ผู้เขียนเคยอ่านพบบทความหนึ่งของท่านอาจารย์พลตรีประยูรฯ ท่านเขียนไว้ประทับใจยิ่งเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของวิชาโหราศาสตร์ โดยท่านเขียนไว้ว่า “ถ้าโครงสร้างเดิมในดวงชะตาบอกไว้ว่าเจ้าชะตาจะต้องถึงแก่ความตายด้วยคมอาวุธ และการพยากรณ์จรตามขั้นตอนตั้งแต่การพยากรณ์จรโดยปรัชญา (Direction) และการพยากรณ์จรโดยดาวพระเคราะห์จรบนท้องฟ้า (Transit) ตอบรับกันมาตลอดว่าโครงสร้างดังกล่าวกำลังทำงาน และเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในคาบเวลาของวงรอบดาวพระเคราะห์จรนั้น เจ้าชะตาจะต้องเป็นไปตามนั้นทุกประการ เป็นไปไม่ได้เลยว่าเจ้าชะตาจะเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ การถึงแก่กรรมของเจ้าชะตาจะต้องเป็นเรื่องของคมอาวุธ เช่นการผ่าตัด หรือถูกสังหารด้วยอาวุธเท่านั้น”
ข. พิจารณาดวงชะตาจรสุริยาตร์
การใช้ปัจจัยจรสุริยาตรเป็นการจรตามปรัชญาอย่างหนึ่งซึ่งท่านอัลเฟรด วิตเต้ ปรมาจารย์โหราศาสตร์ยูเรเนียน (ผู้เขี่ยนไม่แน่ใจนักแต่คิดว่าท่านอาจารย์ประยูรฯเคยบอกว่า ท่านอัลเฟรด วิตเต้ นำเรื่องของโค้งสุริยาตร์มากจากคัมภีร์ เตตร้าบีบลอส ซึ่งเขียนโดยท่านคลอเดียส พโตเลมี บิดาแห่งวิชาโหราศาสตร์ตะวันตก) นำมาใช้และในปัจจุบันเป็นวิธีการพยากรณ์จรโดยปรัชญาที่นิยมใช้กันมากที่สุดในโลก โหราศาสตร์ตะวันออกของเราก็ใช้การจรโดยปรัชญาเป็นเครื่องมือชี้บอกเช่นกันว่าโครงสร้างใดในพื้นดวงชะตากำเนิดกำลังทำงาน ตัวอย่างเช่น การใช้วิมโศษตรีทศา (ทศา 120 ปี) หรืออัษโทตรีทศา (ทศา 108 ปี) ในโหราศาสตร์ภารตะเป็นการจรตามปรัชญาอย่างหนึ่งเพื่อใช้ตรวจสอบว่า โยคใด (ในโหราศาสตร์ภารตะมีโยคต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นรูปแบบโครงสร้างต่างๆในดวงชะตากำเนิด คล้ายๆกับโครงสร้างพระเคราะห์สนธิ ในโหราศาสตร์ยูเรเนี่ยน ปราชญ์ไทยเราบางท่านเช่นท่านอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร เคยบอกผู้เขียนว่า จริงๆแล้ว ฝรั่งนำเรื่องพระเคราะห์สนธิไปจากอินเดียนั่นเอง โดยทำให้เป็นรูปแบบของคณิตศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น)
ดังนั้นการพยากรณ์จรสุริยาตรจึงเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งหลังจากที่ได้วิเคราะห์พื้นดวงชะตาแล้ว เพราะเป็นเครื่องมือที่บอกให้ทราบว่าโครงสร้างใดกำลังทำงาน ยกตัวอย่างเช่นในดวงชะตาของนายก มีโครงสร้างที่ดีมากๆคือ อาทิตย์ = พฤหัส/อพอลลอน ซึ่งเป็นโครงสร้างที่บอกถึงการเป็นเศรษฐี แต่ขณะเดียวกันก็มีโครงสร้างที่ร้ายมากๆเช่น อาทิตย์ = ราหู = มฤตยู/ฮาเดส ปรากฏว่าจากการตรวจสอบปัจจัยจรสุริยาตรพบว่า อาทิตย์บวกโค้งถึงพฤหัสแล้ว แต่ยังประมาณ 1 ปีจึงจะถึงมฤตยู ดังนั้นแสดงว่าโครงสร้างดีเริ่มทำงานแล้วแต่โครงสร้างร้ายยังไม่ทำงาน
การพยากรณ์จรตามปรัชญาโดยใช้โค้งสุริยาตร์เพื่อบอกว่าโครงสร้างพระเคราะห์สนธิใดกำลังทำงานอยู่นั้น จะได้นำมาเสนอที่เว็บไซท์แห่งนี้ในโอกาสต่อไป
ค. การพยากรณ์โดยดาวพระเคราะห์จรบนท้องฟ้า
คำว่าดาวพระเคราะห์จรในที่นี้มีความหมายถึงปัจจัยจรอื่นๆ ด้วยไม่จำเป็นต้องเป็นดาวพราะเคราะห์หรือดาวทิพย์เท่านั้น เช่น เมอริเดียนจร ลัคนาจร ศูนย์รังสีจร เป็นต้น วัตถุประสงค์ของการใช้ปัจจัยจรบนท้องฟ้าก็เพื่อจะบอกว่า โครงสร้างเดิมในดวงชะตาที่กำลังทำงานอยู่จากการพิจารณาด้วยการพยากรณ์จรตามปรัชญานั้น จะระเบิดเหตการณ์ออกมาเมื่อใด การพยากรณ์จรโดยปรัชญาเปรียบเสมือนเป็นการบอกว่า ผลมะม่วงผลนี้สุกคากิ่งอยู่บนต้นมะม่วงแล้ว การพยากรณ์ด้วยปัจจัยจรบนท้องฟ้าเป็นการบอกว่า หนังสะติ๊กจะยิงไปถูกผลมะม่วงเมื่อไร เพื่อให้ผลมะม่วงนั้นร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน
การพยากรณ์จรก็ใช้หลักการผสมความหมายของปัจจัยที่มากระทบกันเช่นเดียวกับการอ่านดวงชะตากำเนิด อย่างไรก็ตามการจะพยากรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดี (พฤหัส) หรือ ร้าย(เสาร์) ที่แม่นยำ และท่านอาจารย์พลตรีประยูรเน้นที่สุดก็คือการพยากรณ์การครบวงจรของปัจจัยจร และปัจจัยกำเนิด
ง. กฎของการครบวงจรในการพยากรณ์ด้วยปัจจัยจรบนท้องฟ้า
กฎของการครบวงจรในการพยากรณ์ด้วยปัจจัยจรบนท้องฟ้าคือ “จุดเจ้าชะตาจรบนท้องฟ้าถึงปัจจัยกำเนิด ในขณะที่ปัจจัยดังกล่าวที่จรบนท้องฟ้าก็ถึงจุดเจ้าชะตากำเนิดด้วย” ยกตัวอย่างเช่น การจะดูว่าดวงทินวรรษ (Solar Return) นั้นพฤหัสแรงหรือไม่ จะต้องตรวจดูการครบวงจรของดาวพฤหัส กล่าวคือต้องดูว่าดาวพฤหัสจรบนท้องฟ้าถึงจุดเจ้าชะตากำเนิดจุดใดจุดหนึ่งหรือไม่ และในขณะเดียวกันจุดเจ้าชะตาจรบนท้องฟ้าถึงดาวพฤหัสกำเนิดหรือไม่ ถ้าได้ทั้งสองประการเรียกว่าเป็นการครบวงจรของดาวพฤหัส ดังนั้นถ้าหากในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่โครงสร้างเดิมเช่น อาทิตย์ = พฤหัส/อพอลลอน กำลังทำงานอยู่ การครบวงจรของดาวพฤหัสในดวงทินวรรษก็จะเป็นสิ่งชี้บอกที่แม่นยำว่า โชคดีตามโครงสร้างดาวดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปีนั้น (ดวงทินวรรษคือดวงที่ผูกขึ้นขณะที่อาทิตย์จรบนท้องฟ้าโคจรทับอาทิตย์กำเนิดสนิทพอดี และจะมีฤทธิ์นานไปจนถึงวันเกิดปีหน้า)
ในทำนองเดียวกันถ้าเป็นโครงสร้างร้ายกำลังทำงานอยู่เช่น โครงสร้าง อาทิตย์ = เสาร์/มฤตยู ถ้าปรากฏในดวงทินวรรษว่า เสาร์ หรือ มฤตยู ครบวงจร หรือครบวงจรทั้งคู่ ก็เป็นสิงบอกเหตุที่พึงระวังเป็นอันมาก ว่าปีนั้นโครงสร้างดังกล่าวจะทำงาน ซึ่งหมายถึงการพลัดพรากโดยฉับพลันในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่การถูกย้ายด่วน การถูกปลดออกจากงาน หรือแม้กระทั่งการประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต เป็นต้น
จ. ข้อสังเกตเพิ่มเติมในการพยากรณ์ด้วยปัจจัยจรบนท้องฟ้า
มีข้อสังเกตที่สำคัญในการพยากรณ์ด้วยปัจจัยจรบนท้องฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎของการครบวงจรพอสรุปได้ดังนี้ (กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ใหญ่ด้านสุขคือพฤหัส และด้านทุกข์คือเสาร์)
ก. นอกเหนือจากการดูว่าโครงสร้างดีร้ายอะไรกำลังทำงานอยู่แล้ว จะต้องดูด้วยว่า พฤหัสและเสาร์ จรบนท้องฟ้าขณะนั้นอยู่ในภพใดในเรือนชะตาเมอริเดียนกำเนิด ถ้าอยู่ในภพเกนทระ (1-4-7-10) ก็ถือว่าปัจจัยนั้นมีกำลังแรง โดยเฉพาะเสาร์จรอยู่ในเรือนเกนทระ (โดยเฉพาะเรือนที่ 4) ถือว่าร้ายมาก
ข. สำหรับบาปเคราะห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาร์จรนั้น ปกติไม่จำเป็นต้องครบวงจร เพียงแค่ เสาร์จรถึงจุดเจ้าชะตากำเนิด หรือจุดเจ้าชะตาจรถึงเสาร์กำเนิดก็เพียงพอจะทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายตามโครงสร้างร้ายที่กำลังทำงานอยู่แล้ว
ค. สำหรับศุภเคราะห์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องครบวงจร จึงจะสามารถพยากรณ์ได้อย่างเฉียบขาด หากเกิดเพียงขาหนึ่งขาใดเหตุการณ์ดีที่บอกตามโครงสร้างดีที่กำลังทำงานอยู่อาจไม่เกิดขึ้น
ง. ทั้งนี้และทั้งนั้นหมายความว่า การเกิดเหตุการณ์ใดๆก็ตามหลักสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีโครงสร้างที่ชี้บอกไปในทางเดียวกันอย่างน้อยสองโครงสร้างกำลังทำงาน
By: ชาญชัย เดชะเสฏฐดี
----------
ขอ ขอบคุณ ท่านผู้เขียนบทความที่ให้ความกรุณาแก่เว็บไซต์แห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางความคิดย่อมมีได้ และผมขอจำกัดความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของเว็บ เท่าที่กฎหมายและกติกาสังคมกำหนด ท่านที่ประสงค์จะร่วมเขียนบทความเช่นนี้ โปรดติดต่อ webmaster@rojn-info.com